นายพนม ควรสถาพร กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2554 ที่ผ่านมา มีมติเปลี่ยนแปลงราคาพาร์จากราคาหุ้นละ 1บาทเป็นราคาหุ้นละ 0.25บาท เนื่องจากหน่วยการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ของบริษัทต้องใช้เงินลงทุนมากที่สุดในตลาด mai ประกอบกับต้องการเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ AGE จะมีกำหนดปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิเข้าประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่1/2554 ในวันที่ 30 สิงหาคม 2554 เวลา 12.00 น. และจะมีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อมีมติอนุมัติเรื่องดังกล่าวในวันที่ 14 กันยายน 2554 และคาดว่าหลักทรัพย์ของบริษัทจะเริ่มซื้อ-ขายที่ราคาพาร์ 0.25 บาทประมาณปลายเดือนกันยายน 2554
สำหรับผู้ถือ AGE-W1 ก็จะได้รับการปรับสิทธิ์ตามข้อกำหนดการปรับสิทธิ์เช่นเดียวกัน ซึ่งคณะกรรมการจะพิจารณาและมีมติปรับสิทธิ์ดังกล่าว หลังจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงราคาพาร์ด้วย
“AGE เราต้องการเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน โดยมีเป้าหมายสร้างรายได้ในช่วง 5 ปีเป็น 10,000 ล้านบาท"นายพนมกล่าว
นายพนม กล่าวว่า ในปี 54 บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตตามเป้าที่ 80% หรือ 5,000 ล้านบาท เนื่องจากขณะนี้คำสั่งซื้อจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากประเทศจีนที่คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากเพราะปลายปีเป็นช่วงฤดูหนาว จึงทำให้มีความต้องการใช้ถ่านหินในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น สำหรับตลาดใหม่ในต่างประเทศที่บริษัทวางแผนไว้คือ อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ คาดว่าจะเริ่มมีการซื้อขายได้ไม่เกินไตรมาส 1 ปี 2555
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2554 มีรายได้รวม 1,397.42 ล้านบาท มียอดรายได้เพิ่มขึ้น 656.37 ล้านบาท หรือคิดเป็น 88.57% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ 741.05 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 73.46 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 33.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 118.18%
ขณะที่ครึ่งปีแรกของ ปี 2554 มีรายได้รวม 2,716.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94.10 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 1,399.49 ล้านบาท และกำไรสุทธิรวม 148.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151.94 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิที่ 58.86 บาท เนื่องจากสาเหตุที่ยอดขายของถ่านหินปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะบริษัทฯ ได้ขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้จะเห็นว่ารายได้เพียง 6 เดือนแรกของปี 2554บริษัทมีรายได้ 2,716.42 ล้านบาท เกือบเท่ากับรายได้ของปี 2553 ทั้งปีที่มีรายได้รวม 2,818 ล้านบาท สำหรับกำไรสุทธิ 6 เดือนแรกปี 2554 มีจำนวน148.29 ล้านบาท มากกว่ากำไรสุทธิของปีที่แล้วทั้งปีที่ 127 ล้านบาท
เนื่องจาก ยอดขายของถ่านหินปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะบริษัทฯ ได้ขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับในปี 55 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเพิ่มเป็น 3 ล้านตัน/ปี จาก 2.1 ล้านตันในปี 54 ซึ่งจะส่งผลให้รายได้เติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 40-50% จากเป้าหมายรายได้ในปีนี้ 5,000 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น โดยการที่บริษัทสามารถสร้างรายได้ในปีได้ในระดับดังกล่าวถือว่าเร็วกว่าแผนที่บริษัทตั้งเป้าหมายใน 5 ปี (54 - 58) มีรายได้ 10,000 ล้านบาท
"ครึ่งแรกเราทำได้ 1.059 ล้านตันแล้วซึ่งค่อนข้างมากจากเป้าหมายในปีนี้ 1.3 - 1.4 ล้านตัน จึงคิดว่าในปีนี้ไม่น่ามีปัญหา และในอนาคตก็จะเติบโตโดยเฉพาะสัดส่วนรายได้การขายต่างประเทศที่จะเพิ่มเท่าตัว จากการที่เราเข้าไปในตลาดอินเดีย และญี่ปุ่น" นายพนมกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของแผนการเข้าซื้อเหมืองในประเทศอิโดนีเซีย ขณะนี้ได้มีการตั้งที่ปรึกษาจำนวน 2 ราย ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ พร้อมให้เงินสนับสนุนรวม 3 พันล้านบาทในการเข้าลงทุน โดยเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นการเข้าร่วมทุน บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 80% และเข้าจะทะเบียนในตลาดอินโดนีเซียในอนาคต คาดว่าเรื่องดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้ รวมทั้งยังศึกษาตลาดในแอฟริกาด้วย
กรรมการผู้จัดการ AGE กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับราคาเพิ่มขึ้น 10% เพื่อชดเชยค่าขนส่งถ่านหินพื้นที่อื่นแทนสมุทรสาครที่มีปัญหา และบริษัทยังคงเน้นการจ่ายปันผลเป็นหุ้นต่อตามความต้องการของผู้ถือหุ้น ซึ่งปัจจุบันผลตอบแทน 12.5% จากนโยบายปันผล 40 % ของกำไรสุทธิ