บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลการจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทของ บมจ. ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH) ที่ระดับ “A-" โดยอันดับเครดิตหุ้นกู้ดังกล่าวใช้แทนอันดับเครดิตที่ทริสเรทติ้งจัดให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของบริษัทเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2554 เนื่องจากบริษัทมีความประสงค์ที่จะเพิ่มวงเงินการออกหุ้นกู้ ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งก็ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ บริษัทที่ระดับ “A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้ระยะสั้นบางส่วน อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดบ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางถึงสูง และรายได้ที่สม่ำเสมอจากหลากหลายแหล่ง ทั้งจากเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์และอาคารสำนักงาน และจากธุรกิจการลงทุน ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความคล่องตัวทางการเงินจากการถือครองเงินลงทุนในบริษัทร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ตลอดจนลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง และการที่บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้ที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาความเป็นผู้นำในตลาดบ้านจัดสรรราคาสูงต่อไป อีกทั้งจะรักษาสัดส่วนของสินค้าที่อยู่อาศัยให้มีความสมดุลย์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในความต้องการของลูกค้า ทั้งนี้ สถานะทางการเงินของบริษัทจะลดต่ำลงกว่าสถานะอันดับเครดิตในปัจจุบันซึ่งอาจส่งผลกระทบให้อันดับเครดิตลดลงหากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 55% เป็นเวลาที่นานต่อเนื่องในระดับหนึ่ง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทควอลิตี้ เฮ้าส์เป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยซึ่งมีชื่อเสียงเป็น ที่ยอมรับในตลาดบ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางถึงสูง บริษัทก่อตั้งในปี 2526 โดย บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2554 ประกอบด้วยบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ร่วมกับตระกูลอัศวโภคิน (25%) และ The Government of Singapore Investment Corporation Pte. Ltd. (11%) บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในตลาดบ้านเดี่ยวราคาระดับปานกลางถึงสูง ผู้บริหารของบริษัทแสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องถึงความสามารถในระดับสูงในการพัฒนาสินค้าที่อยู่อาศัยซึ่งมีจุดแข็งในด้านความหลากหลายทั้งระดับราคาและกลุ่มลูกค้า
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ในช่วงปี 2553-2554 บริษัทควอลิตี้ เฮ้าส์มีการพัฒนากลยุทธ์ใหม่ภายใต้แนวทางหลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) การเริ่มเข้าสู่ตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาที่ต่ำลงภายใต้ชื่อแบรนด์ “เดอะทรัสต์" ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับราคา 1-3 ล้านบาท 2) การใช้กลยุทธ์ขายบ้านก่อนสร้างเสร็จ (Presale) สำหรับโครงการภายใต้แบรนด์ “คาซ่า" และ “เดอะทรัสต์" รวมทั้งสำหรับโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด และ 3) การเริ่มใช้วิธีการก่อสร้างโดยใช้ส่วนประกอบสำเร็จรูปแบบ Precast และ Tunnel สำหรับโครงการแนวราบระดับราคา 1-5 ล้านบาทต่อหน่วย โดยทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการสร้างความแข็งแกร่งในตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาที่ต่ำลง อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวน่าจะช่วยสร้างรายได้ในระดับที่น่าพอใจให้แก่บริษัทและบริษัทมีโอกาสที่จะเติบโตได้ตามสภาพของตลาด
บริษัทตั้งงบประมาณซื้อที่ดินในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าไว้ที่ประมาณ 4 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ที่อัตราการเติบโตในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติในปี 2554 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 บริษัทมีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่ยังไม่ได้ขายจากโครงการในปัจจุบันอยู่ที่ 6,289 หน่วย (รวมที่ก่อสร้างเสร็จแล้วและที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง) โดยหน่วยที่ยังไม่ได้ขายดังกล่าวมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 32,480 ล้านบาท
รายได้ของบริษัทในปี 2554-2555 คาดว่าจะเติบโตจากโครงการบ้านเดี่ยวเป็นหลัก สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาฐานรายได้ไว้ในระดับเกินกว่า 1 หมื่นล้านบาทในระหว่างปี 2554-2555 รายได้ของบริษัทน่าจะปรับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในปี 2556 จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียม ในขณะที่อัตราส่วนกำไรในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าน่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปี 2553 ทั้งนี้ บริษัทจำเป็นจะต้องมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายให้มากขึ้นพื่อให้สอดรับกับกระแสเงินสดในอนาคตที่จะมีความผันผวนมากยิ่งขึ้นจากการลงทุนในโครงการคอนโดมิเนียม
บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 57% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 เพิ่มขึ้นจาก 52.4% ณ สิ้นปี 2553 และ 51.1% ณ สิ้นปี 2552 ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทน่าจะได้รับแรงกดดันในระดับหนึ่งโดยจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในช่วงปี 2554-2555 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการ บริษัทมีสภาพคล่องในระดับที่น่าพอใจแม้ว่าจะอ่อนแอลงในไตรมาสแรกของปี 2554 ทั้งนี้ สภาพคล่องของบริษัทน่าจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่เหลือของปี 2554 จากยอดขายโครงการแนวราบในปัจจุบันและโครงการที่จะเปิดใหม่ในอนาคต นอกจากนี้ สภาพคล่องของบริษัทยังได้รับแรงหนุนจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์ด้วย
ทริสเรทติ้ง กล่าวถึงความต้องการที่อยู่อาศัยว่าขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาวะเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยปกติภาครัฐมักให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในช่วงครึ่งหลังของปี 2552
ตลาดที่อยู่อาศัยของไทยเริ่มฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากแรงกระตุ้นของมาตรการจูงใจด้านภาษีของภาครัฐในช่วงปี 2551-2553 และภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม ตลาดที่อยู่อาศัยอยู่ในสภาวะทรงตัวตลอดปี 2553 ทั้งนี้ ผู้ประกอบการหลายรายได้เร่งซื้อที่ดินเพิ่มตั้งแต่ปลายปี 2552 ซึ่งส่งผลทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของผู้ประกอบการหลายรายเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในปี 2553 การเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV Ratio) ของธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2554 และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงวงจรขาขึ้นเป็นปัจจัยหลักที่คาดว่าจะชะลอความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการเก็งกำไรในตลาดคอนโดมิเนียมลงและลดทอนความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ดังนั้น จึงคาดว่าอัตราการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้จะต่ำลงเมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายน่าจะแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากผู้ประกอบการรายเล็กเพราะผู้ประกอบการรายใหญ่พยายามเพิ่มความหลากหลายของธุรกิจโดยการเข้าไปแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่ต่ำลง สถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นสาเหตุที่ทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงยิ่งกว่าในอดีต