สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า คณะกรรมการเปรียบเทียบมีคำสั่งเปรียบเทียบปรับนายไพบูลย์ เฉลิมทรัพยากร นายพงศเฉลิม เฉลิมทรัพยากร นายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรณีขายหุ้นบมจ. ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) และใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญ (UMS-W1) โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการเป็นผู้บริหารของ UMS ก่อนที่ข้อมูลนั้นจะเปิดเผยต่อประชาชน และนางสาวภัทรา เฉลิมทรัพยากร ในฐานะผู้ให้ความช่วยเหลือ
โดยมีคำสั่งเปรียบเทียบปรับนายไพบูลย์ เป็นจำนวนเงิน 5,363,120.64 บาท นายพงศเฉลิม เป็นจำนวนเงิน 1,296,010.44 บาท นายชัยวัฒน์ เป็นจำนวนเงิน 3,723,416.40 บาท และนางสาวภัทรา เป็นจำนวนเงิน 333,333.33 บาท
สืบเนื่องจาก ก.ล.ต. ได้รับเรื่องจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและได้ตรวจสอบพบว่า นายไพบูลย์ ในขณะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการและกรรมการบริหาร นายพงศเฉลิมในขณะดำรงตำแหน่งกรรมการและกรรมการบริหาร และนายชัยวัฒน์ในฐานะกรรมการผู้จัดการและกรรมการบริหารของ UMS ได้ล่วงรู้เรื่องผลการดำเนินงานของบริษัท ไตรมาส 4 ปี 2551 ที่มีกำไรสุทธิลดลงจำนวนมากเนื่องจากการตั้งค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้าคงเหลือ และได้ขายหุ้น UMS และ UMS-W1 ก่อนที่ข้อมูลดังกล่าวจะเปิดเผยต่อประชาชนในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552 โดยนางสาวภัทราให้ความช่วยเหลือนายไพบูลย์และนายพงศเฉลิมในการขายหลักทรัพย์ดังกล่าวผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเอง ดังนี้
- นายไพบูลย์ขายหุ้น UMS ระหว่างวันที่ 16-29 มกราคม 2552 และระหว่างวันที่ 13-23 กุมภาพันธ์ 2552 และขาย UMS-W1 ระหว่างวันที่ 13-17 กุมภาพันธ์ 2552
- นายพงศเฉลิมขาย UMS-W1 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเอง
- นายชัยวัฒน์ขายหุ้น UMS ระหว่างวันที่ 29 มกราคม - 19 กุมภาพันธ์ 2552 ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเอง
การกระทำของนายไพบูลย์ นายพงศเฉลิม และนายชัยวัฒน์เข้าข่ายเป็นการขายหลักทรัพย์โดยอาศัยข้อมูลภายในที่เป็นการเอาเปรียบบุคคลอื่น ฝ่าฝืนมาตรา 241 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มีความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน สำหรับนางสาวภัทรา ในฐานะผู้สนับสนุน มีความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ประกอบมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
นายไพบูลย์ นายพงศเฉลิม นายชัยวัฒน์ และนางสาวภัทรา ยินยอมเข้ารับการเปรียบเทียบ คณะกรรมการเปรียบเทียบจึงได้เปรียบเทียบปรับบุคคลทั้งสี่ราย เป็นจำนวนเงิน 5,363,120.64 บาท 1,296,010.44 บาท 3,723,416.40 บาท และ 333,333.33 บาท ตามลำดับ