ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (15 ส.ค.) ซึ่งเป็นการปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนขานรับข่าวควบรวมกิจการของบริษัทหลายแห่ง รวมถึงข่าวกูเกิลเสนอซื้อกิจการโมโตโรลา โมบิลิตี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในไตรมาส 2 ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนผ่อนคลายจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 213.88 จุด หรือ 1.90% ปิดที่ 11,482.90 จุด ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 25.68 จุด หรือ 2.18% ปิดที่ 1,204.49 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 47.22 จุด หรือ 1.88% ปิดที่ 2,555.20 จุด
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 4.5 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 10 ต่อ 1
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการ ขานรับข่าวควบรวมกิจการและเข้าซื้อหุ้น รวมถึงข่าวกูเกิลเสนอซื้อกิจการโมโตโรลา โมบิลิตี้ มูลค่า 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นโมโตโรลา โมบิลิตี้พุ่งขึ้น 55.8% แต่หุ้นกูเกิลร่วงลง 1.2%
นอกจากนี้มีรายงานว่า ไทม์ วอร์เนอร์ เคเบิล อิงค์ เสนอซื้อกิจการบริษัท อินไซท์ คอมมูนิเคชันส์ มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ โดยอินไซท์ คอมมูนิเคชันส์เป็นผู้ให้บริการเคเบิลทีวีซึ่งมีฐานลูกค้ามากกว่า 700,000 รายในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐ ขณะเดียวกันมีรายงานว่า บริษัท คาร์กิลล์ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทด้านการเกษตรจะเสนอซื้อกิจการบริษัท โพรวิมี ของเนเธอร์แลนด์ มูลค่า 2.16 พันล้านดอลลาร์ และบริษัท ทรานส์โอเชียนจะซื้อกิจการบริษัท เอเคอร์ ดริลลิง ของนอร์เวย์ มูลค่า 1.43 พันล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์กล่าวว่า วันจันทร์ที่ 15 ส.ค.ถือเป็นวัน "Merger Monday" หรือวันที่มีข่าวควบรวมกิจการและซื้อกิจการเข้ามาเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กมากที่สุด
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกหลังจากสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ของญี่ปุ่น หดตัวลง 1.3% ต่อปี ทำสถิติหดตัวลงติดต่อกัน 3 ไตรมาส แต่ยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์สำนักข่าวเกียวโดคาดว่าจะหดตัวลง 2.6% ต่อปี
รายงานระบุว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นร้อยละกว่า 60 ของจีดีพีญี่ปุ่นนั้น หดตัวลง 0.1% ในไตรมาส 2 แต่ยังดีกว่าไตรมาสแรกที่หดตัวลง 0.6% ขณะที่ตัวเลขการใช้จ่ายด้านทุนในภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 0.2% และตัวเลขการใช้จ่ายในภาคสาธารณะปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าบรรยากาศด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่หดตัวลงอย่างหนักอันเนื่องมาจากผลกระทบของแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา
หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกาพุ่งขึ้น 7.9% ซึ่งช่วยหนุนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นกลุ่มการเงินที่คำนวณในดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น 3.4% หลังจากราคาน้ำมันดิบทะยานขึ้นกว่า 2 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ดัชนีกิจกรรมการผลิตในรัฐนิวยอร์กหดตัวลงมาอยู่ที่ระดับ -7.7 จุดในเดือนส.ค. จากเดือนก.ค.ที่ระดับ -3.8 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 3 เดือน
หุ้นเอสเต้ ลอเดอร์ ร่วงลง 6.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการที่ต่ำเกินคาด ขณะที่หุ้นโลว์คอส ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ตกแต่งบ้านรายใหญ่ของสหรัฐ ดีดตัวขึ้น 0.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้เพิ่มขึ้นในไตรมาสล่าสุด
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันอังคาร กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.ค. และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนก.ค.
วันพุธ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค. วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด จะเปิดเผยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนก.ค. และสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติจะเปิดเผยยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค. ส่วนวันศุกร์ ไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ