ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหม่ หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งรวมถึงจำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นเกินคาดและยอดขายบ้านมือสองที่ร่วงลงอย่างหนัก นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรป หลังจากมีรายงานว่าหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของสหรัฐกำลังตรวจสอบสถานะการเงินของธนาคารยุโรปรายใหญ่ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในสหรัฐ เพราะเกรงว่าวิกฤตหนี้ยูโรโซนอาจจจะลุกลามเข้าสู่ระบบการธนาคารของสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 419.63 จุด หรือ 3.68% ปิดที่ 10,990.58 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 53.24 จุด หรือ 4.46% ปิดที่ 1,140.65 จุด และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 131.05 จุด หรือ 5.22% ปิดที่ 2,380.43 จุด
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรปและการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่แล้วพุ่งขึ้น 9,000 ราย สู่ระดับ 408,000 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 400,000 ราย สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงอ่อนแอและอาจจะฉุดรั้งเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวช้าลง
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) เดือนก.ค.พุ่งขึ้น 0.5% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดความหวั่นวิตกว่าสหรัฐอาจจะเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อแม้เศรษฐกิจกำลังชะลอตัวอยู่ก็ตาม
นอกจากนี้ สมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ (NAR) รายงานว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค.ร่วงลง 3.5% แตะที่ 4.67 ล้านยูนิตต่อปี ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.8% และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยว่า ดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจในเขตมิดเวสต์ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ -30.7 จุดในเดือนก.ค. จากเดือนมิ.ย.ที่ระดับ +3.2%
นักวิเคราะห์จากบีทีไอจี ซึ่งเป็นบริษัทโบรกเกอร์รายใหญ่ของสหรัฐกล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐได้จุดปะทุให้เกิดความวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหม่และจะฉุดรั้งเศรษฐกิจทั่วโลกให้อ่อนแอลงด้วย นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรปและการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจญี่ปุ่น โดยเมื่อวานนี้ญี่ปุ่นเปิดเผยว่ายอดส่งออกเดือนก.ค.หดตัวลง 3.3% จากปีที่แล้ว มาอยู่ที่ระดับ 5.7819 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 อันเนื่องมาจากผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นในเดือนมี.ค.
นอกเหนือจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอแล้ว ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยลบหลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกในปีนี้ลงสู่ระดับ 3.9% จากเดิมที่คาดไว้ว่า จะขยายตัว 4.2% พร้อมกับปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้าลงสู่ระดับ 3.8% จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะขยายตัว 4.5% เนื่องจากผลกระทบของวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงอย่างหนักหลังจากมีรายงานว่า หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของสหรัฐกำลังตรวจสอบสถานะการเงินของธนาคารยุโรปรายใหญ่ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในสหรัฐ เพราะเกรงว่าวิกฤตหนี้ยูโรโซนอาจจจะลุกลามเข้าสู่ระบบการธนาคารของสหรัฐ
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลง 5.6% หุ้นซิตี้กรุ๊ปร่วง 6.3% หุ้นมอร์แกน สแตนเลย์ดิ่งลง 4.8% และหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลงกว่า 6%
หุ้นแคทเตอร์พิลลาร์ อิงค์ และหุ้นเฟดเอ็กซ์ คอร์ป ร่วงลงอย่างน้อย 4.9% เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ขณะที่หุ้นอัลโค อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอลูมิเนียมรายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลง 6.1% และหุ้นเอ็กซอนโมบิลร่วงลง 4.3%