ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงหนักสุดในรอบกว่า 2 ปีเมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 4.8% แตะที่ 226.7 จุด ซึ่งเป็นการร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2552
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3076.04 จุด ร่วงลง 178.30 จุด และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 5602.80 จุด ร่วงลง 346.14 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงอย่างหนักหลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกในปีนี้ลงสู่ระดับ 3.9% จากเดิมที่คาดไว้ว่า จะขยายตัว 4.2% และปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้าลงสู่ระดับ 3.8% จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะขยายตัว 4.5% พร้อมระบุว่า สหรัฐและยุโรปมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของสหรัฐ รวมถึงยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค.ของสหรัฐร่วงลง 3.5% แตะที่ 4.67 ล้านยูนิตต่อปี ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.8% และดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจในเขตมิดแอตแลนติกของสหรัฐร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ -30.7 จุดในเดือนก.ค. จากเดือนมิ.ย.ที่ระดับ +3.2%
หุ้นกลุ่มธนาคารในตลาดยุโรปร่วงลงหลังจาก หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของสหรัฐกำลังตรวจสอบสถานะการเงินของธนาคารยุโรปรายใหญ่ที่เข้าไปเปิดสาขาในสหรัฐ โดยหุ้นเดกเซีย ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ของเบลเยียม ร่วลง 14% หุ้นธนาคารโซซิเอเต เจนเนอราล (ซอคเจน) ของฝรั่งเศส ร่วงลง 12% ธนาคาร HSBC ร่วงลง 6% และหุ้นธนาคารบาร์เคลย์สดิ่งลง 6%
ส่วนหุ้นสเวดแบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารของสวีเดน ร่วงลง 9% และหุ้นนอร์เดีย แบงก์ เอบี ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่สุดของสวีเดน ร่วงลง 7.4%
หุ้นเฟียต ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของยุโรป ร่วงลง 12% ขณะที่หุ้นคอนติเนนตัล เอจี ซึ่งเป็นผู้จัดหาชิ้นส่วนรถยนต์รายใหญ่อันดับสองของยุโรป ร่วงลง 8.6%