ทริสฯ เพิ่มเครดิตองค์กร STA เป็น "A-" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 19, 2011 08:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) เป็นระดับ “A-" จากเดิมที่ระดับ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นจากความสำเร็จในการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์เมื่อเดือนมกราคม 2554 และผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจยางธรรมชาติ ตลอดจนการมีฐานลูกค้าที่กระจายตัว ความสำเร็จของกลยุทธ์ในการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคายางธรรมชาติ และความรู้ความเชี่ยวชาญในธุรกิจยางธรรมชาติ ทว่าความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความ ผันผวนของราคายางธรรมชาติและแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะรักษาผลการดำเนินงานที่ดีเอาไว้ได้ทั้งในช่วงขาขึ้นและขาลงของวงจรธุรกิจ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะรักษาสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินให้เพียงพอเพื่อรับมือกับความผันผวนของอุตสาหกรรมยางธรรมชาติและความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทศรีตรังแอโกรอินดัสทรีเป็นผู้นำในการแปรรูปและจำหน่ายยางธรรมชาติในประเทศไทย โดยมีโรงงานแปรรูป 19 แห่งในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและอีก 2 แห่งในประเทศอินโดนีเซีย ณ เดือนมีนาคม 2554 บริษัทมีกำลังการผลิตยางแปรรูปทั้งสิ้น 977,020 ตันต่อปี และมีส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดยางธรรมชาติทั่วโลกสำหรับช่วง 3 เดือนแรกของปี 2554 อยู่ที่ 9.78% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 7.85% ในปี 2553 ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานรวมทั้งการมีข้อมูลข่าวสารที่รอบด้านทั้งในส่วนของอุปสงค์และอุปทานยางธรรมชาติทำให้ผู้บริหารสามารถบริหารกิจการของบริษัทผ่านวงจรธุรกิจทั้งในช่วงขาขึ้นและขาลงโดยยังคงรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้

ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2554 บริษัทมียอดจำหน่ายยางแปรรูปทั้งสิ้น 251,361 ตัน เพิ่มขึ้น 19.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางประมาณ 84% ให้แก่ผู้ประกอบการโดยตรง แม้ว่ายอดขายของบริษัทจะกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมยางล้อเป็นส่วนใหญ่ แต่บริษัทก็มีฐานลูกค้าที่ค่อนข้างหลากหลายและกระจายตัวอยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก นอกจากนี้ บริษัทยังขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มผู้ผลิตยางล้อขนาดกลางและขนาดเล็กด้วย บริษัทมียอดส่งออกคิดเป็น 85% ของปริมาณขายในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2554 โดยมีลูกค้าหลักคือประเทศจีนซึ่งคิดเป็น 42% ของปริมาณยอดส่งออกทั้งหมด

ปัจจุบันผู้ผลิตยางธรรมชาติรายใหญ่ของโลกประกอบด้วยประเทศไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ผลผลิตโดยรวมจากทั้ง 3 ประเทศคิดเป็น 66% ของผลผลิตทั่วโลกที่มีปริมาณ 10.29 ล้านตันในปี 2553 โดยประเทศไทยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด ด้วยผลผลิตรวมทั้งสิ้น 3.07 ล้านตัน รองลงมาได้แก่ประเทศอินโดนีเซีย (2.83 ล้านตัน) และประเทศมาเลเซีย (0.94 ล้านตัน) ประมาณ 70% ของยางธรรมชาติใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมยางล้อ ที่เหลือ 30% ใช้ในอุตสาหกรรมถุงมือยาง ถุงยางอนามัย และรองเท้า การบริโภคยางธรรมชาติทั่วโลกในปี 2553 อยู่ที่ 10.67 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13.2% จากปีก่อนหลังจากที่ลดลงอย่างมากจากปัจจัยหลายประการ ทั้งวิกฤติการเงินโลก ภาวะสินเชื่อตึงตัว และการลดลงอย่างมากของการบริโภคภาคเอกชน ทั้งนี้ การฟื้นตัวของการบริโภคยางธรรมชาติเป็นผลมาจากการฟื้นตัวในตลาดสหรัฐอเมริกาและอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะในประเทศจีนและอินเดีย

สำหรับอุตสาหกรรมยางแปรรูปว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีต้นทุนวัตถุดิบคิดเป็นประมาณถึง 95%-98% ของต้นทุนการแปรรูป ผู้ประกอบการมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคายางธรรมชาติเป็นอย่างมากซึ่งส่งผลทำให้กำไรและกระแสเงินสดมีแนวโน้มแปรปรวน เพื่อที่จะลดความเสี่ยงดังกล่าว บริษัทศรีตรังแอโกรอินดัสทรีจึงปรับเปลี่ยนนโยบายทางการตลาดโดยใช้กลยุทธ์การซื้อขายแบบ Back-to-Back และพยายามซื้อขายโดยตรงกับผู้ผลิตสินค้าและเกษตรกร กระนั้นก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านราคาในช่วงที่ราคายางมีความผันผวนในระดับสูงไปได้

บริษัทรายงานผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยทั้งรายได้และกำไรอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ซึ่งเป็นผลมาจากราคายางธรรมชาติและยอดส่งมอบสินค้าที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ราคาขายเฉลี่ยในปี 2553 ของบริษัทอยู่ที่ 97.7 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 66% จากปี 2552 ราคายังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 145.7 บาท/กิโลกรัมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 ซึ่งเป็นผลมาจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นและอุปทานยางธรรมชาติที่ลดลงจากสภาวะอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ในด้านของปริมาณการขาย บริษัทมียอดส่งมอบเพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 485,664 ตันในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 ซึ่งมากกว่าการเพิ่มขึ้นของการบริโภคยางธรรมชาติทั่วโลก บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นก่อนค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.79% ในปี 2553 และ 4.06% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 และมีเงินทุนจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2,709 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนทั้งๆ ที่มีภาระภาษีเพิ่มขึ้นและได้รับเงินปันผลที่ลดลงจากบริษัทย่อย

โครงสร้างเงินทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นโดยลำดับ โดยส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 10,415 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2553 มาอยู่ที่ 19,071 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2554 จากความสำเร็จในการเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์เมื่อเดือนมกราคม 2554 และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนก็ปรับตัวดีขึ้น โดยลดลงมาอยู่ที่ 51.99% ณ เดือนมิถุนายน 2554 จาก 69.12% ณ เดือนธันวาคม 2553


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ