นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ว่าที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ปตท.(PTT) เชื่อว่าในปีนี้บริษัทจะไม่มีผลขาดทุนสต็อกน้ำมันเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 51 เนื่องจากบริษัทมีการบริหารจัดการที่ดีมาโดยตลอด ประกอบกับว่าเมื่อราคาน้ำมันปรับตัวลงทุก ๆ 5-6 เหรียญ/บาร์เรล กองทุนความมั่งคั่งจากจีนจะเข้ามารับซื้อน้ำมันไว้เพื่อเป็นสำรอง ก็จะทำให้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น
ทั้งนี้ ปตท.สนับสนุนให้ภาครัฐจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ(Sovereign Welth Fund)เหมือนกับในต่างประเทศ ซึ่งมองว่าคงไม่ได้ใช้เม็ดทุนสำรองระหว่างประเทศสูงอย่างที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กังวล ซึ่งตามมาตรฐานสากลประเทศต่าง ๆ จะมีการกันสำรองน้ำมันไว้ประมาณ 90 วัน
นายไพรินทร์ กล่าวว่า ปกติไทยต้องนำเข้าน้ำมันวันละ 1 ล้านบาร์เรล หากจะต้องสำรอง 90 วันก็คิดเป็นมูลค่า 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเป็นจำนวนเงินไม่มากเมื่อเทียบกับปริมาณทุนสำรองของประเทศที่มีอยู่ 1.87 แสนล้านเหรียญ
"การจัดตั้งจะค่อย ๆ ทยอยจัดตั้ง ในช่วง 5 ปีแรกคงใช้เงินปีละประมาณ 2 พันล้านเหรียญถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับทุนสำรองของประเทศที่มีอยู่ถึง 1.87 แสนล้านเหรียญ ซึ่งจะช่วยรักษาความมั่นคงทางด้านพลังงานและความมั่นคงของประเทศ หากทางตะวันออกกลางมีปัญหาเราก็สามารถใช้สำรองตรงนี้มาดูแลความมั่นคงภายในประเทศได้ เหมือนอย่างที่ญี่ปุ่นและฝรั่งเศสทำ"
ส่วนนโยบายบัตรเครดิตพลังงานนั้น นายไพรินทร์ กล่าวว่า ปตท.เห็นด้วยในหลักการ แต่เสนอแนะให้ปรับเปลี่ยนมาเป็นบัตรเดบิตแทน เพื่อเป็นการป้องกันปัญหนี้เสียที่อาจตามมา และจะต้องใช้ความช่วยเหลือกับผู้ที่สมควรได้รับ
"เราเห็นด้วยกับนโยบาย เพราะปตท.ก็ใช้อยู่แล้ว อย่างระบบปั๊ม โดยเฉพาะ NGV แต่อยากให้รัฐบาลช่วยเข้าไปดูแลผู้บริโภคที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ และหากไม่อยากให้มีหนี้เสียก็ควรใช้แบบเป็นบัตรเดบิต แต่ทั้งนี้ยังไม่มีนโยบายชัดเจนออกมาก็ต้องรอดูต่อไป"นายไพรินทร์ กล่าว