บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA)คาดผลประกอบการงวดไตรมาส 4/54 จะมีรายได้ใกล้เคียงกับไตรมาส 3/54 แต่กำไรอาจจะต่ำกว่า เพราะไตรมาสก่อนมีกำไรพิเศษค่อนข้างมาก ขณะที่งวดไตรมาส 4/54 จะรับรู้กำไรจากการขายเรือเก่า 3 ลำประมาณ 50 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทคาดว่าในปี 55 อัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)น่าจะสูงขึ้นเป็น 15% จากปีนี้อยู่ที่ 12% เนื่องจากบริษัทจะได้รับมอบเรือใหม่ 2 ลำในเดือน ก.พ.และมิ.ย.55 ซึ่งจะต้องมีรายจ่ายอีกประมาณ 48.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ค่าระวางเรือในปีหน้าคาดว่าจะทรงตัวจากปีนี้ที่ระดับ 1.1-1.2 หมื่นเหรียญสหรัฐ/ลำ/วัน
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบัญชีและการเงิน TTA กล่าวว่า แนวโน้มรายได้ในไตรมาส 4/54 (ก.ค.-ก.ย.)น่าจะออกมาใกล้เคียงกับไตรมาส 3/54(เม.ย.-มิ.ย.)ที่มีรายได้ 4,376 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิคาดว่าจะลดลง เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3/54 มีกำไรจากรายการพิเศษ
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 4/54 บริษัทจะมีการรับรู้กำไรพิเศษจากการขายเรือ Handysize 3 ลำ จำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้จำนวนกองเรือของบริษัท ณ สิ้นปีงวดปี 54 (ต.ค.53-ก.ย.54) อยู่ที่ 15 ลำ และจะเพิ่มเป็น 17 ลำในงวดปี 55 (ต.ค.54-ก.ย.55) เนื่องจากปี 55 จะมีการรับมอบเรือใหม่เข้ามาเพิ่ม 2 ลำช่วงเดือน ก.พ.และ มิ.ย. 55 ตามลำดับ โดยเป็นเรือ Supramax ขนาดประมาณ 53,000 เดทเวทตัน
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าค่าระวางเรือในช่วง 12 เดือนข้างหน้ายังทรงตัวอยู่ที่ 1.1-1.2 หมื่นเหรียญสหรัฐ/วัน ซึ่งเป็นไปตามดัชนีค่าระว่างเรือที่คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,100-1,200 จุด
“ตลาด Dry Bulk ถือเป็นตลาดใหญ่ การจะกลับเข้าสู่ภาวะ balance ค่อนข้างยาก ซึ่งถ้าดูจากตัวเลขถือว่ายังอยู่ในภาวะ over supply ซึ่งต่อจากนี้เราก็กำลังมองหาดีไซด์ที่เป็นรูปแบบเฉพาะเพื่อเหมาะกับการขนส่งสินค้า...มองว่าธุรกิจเดินเรือจะเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งในปี 2013 เป็นต้นไป"นางฐิติมา กล่าว
สำหรับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในปี 55 ในส่วนของธุรกิจเรือบรรทุกสินค้าแห้งเทกองที่มีสัดส่วนรายได้เป็น 1 ใน 3 ของรายได้รวม คาดว่าจะปรับตัวลดลงตามจำนวนกองเรือและดัชนีค่าระวางเรือที่ลดลง
ส่วนธุรกิจเรือขุดเจาะของบมจ.เมอร์เมด มาริไทม์ (เมอร์เมด) คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ หลังความต้องการทางด้านงานวิศวกรรมใต้น้ำและเรือขุดเจาะมีมากขึ้น ซึ่งบริษัทจะเริ่มมีการส่งมอบเรือ Jack-up Rigs ในช่วงเดือน ธ.ค.55 จำนวน 1 ลำ และ 3 เดือน หลังจากนั้นจะส่งมอบอีก 1 ลำ
ขณะที่ธุรกิจพลังงานถือว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยปัจจุบันบริษัทมีเหมืองถ่านหินในต่างประเทศอยู่ 2 แห่ง ที่ประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ซึ่งบริษัทตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตที่เหมืองในฟิลิปปินส์เป็น 2 แสนตันในปี 55 และเป็น 1 ล้านตันในปี 58 ส่วนเหมืองที่อินโดนีเซียขณะนี้อยู่ระหว่างการทำแผนงาน
สำหรับกิจการของ บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS)ที่บริษัทเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ปัจจุบันบริษัทก็เร่งที่จะระบายสต็อคถ่านหินขนาด 0-5 มม. ซึ่งมีมาร์จิ้นค่อนข้างต่ำ โดยปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 4 แสนกว่าตัน ซึ่งคาดว่าในช่วงไตรมาส 4/54 จะขายถ่านหินขนาด 0-5 มม. อย่างน้อยอีกประมาณ 5 หมื่นตัน นอกจากนี้บริษัมมีโครงการที่จะนำถ่านหินขนาดเล็กๆมาปั่นเป็นขนาดตามที่ลูกค้าต้องการเพื่อเพิ่มมารจิ้น โดยตั้งเป้าขายถ่านหินรูปแบบดังกล่าว 7 หมื่นตัน ในไตรมาส 4/54
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นปี 55 จะเพิ่มเป็น 15% จากปีนี้อยู่ที่ประมาณ 12% ตามแนวโน้มการเติบโตของ บมจ.เมอร์เมด มาริไทม์ (เมอร์เมด) ประกอบกับบริษัทจะพยายมลดต้นทุนด้านต่างๆลง อาทิเช่น การขายเรือเก่าที่มีอายุการใช้งานมากแล้วและไม่มีประสิทธิภาพออกไป