บมจ.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน(ROBINS) ปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายปี 54 เป็นเติบโต 18% จากเดิม 15% เนื่องจากช่วงที่ผ่านมายอดขายทั้งสาขาเก่าและสาขาใหม่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และบริษัทยังมีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มเติมอีกทั้งในปีนี้และปีหน้า พร้อมกันนั้นยังจะเพิ่มสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ที่มีอัตรากำไร(มาร์จิ้นสูง)ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นไปสู่เป้าหมาย 7% สิ้นปีนี้ และเพิ่มเป็น 10% ในปี 55 โดยในครึ่งปีหลังจะเพิ่มสินค้าเฮ้าส์แบรนด์วางตลาดอีก 4 ยี่ห้อ
นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ROBINS เปิดเผยว่า บริษัทปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายปี 54 เป็นเติบโต 18% จากเดิม 15% เนื่องจาก ในช่วงครึ่งแรก มียอดขาย 8,195 ล้านบาท หรือเติบโต 18 % แล้ว เป็นการเติบโตจากสาขาเดิม และคาดว่าในครึ่งหลังจะเติบโตต่อเนื่องจากการเปิดสาขาใหม่ ขณะเดียวกันภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้ดี ส่งผลต่อธุรกิจค้าปลีกขยายตัวตาม รวมทั้งการเพิ่มสินค้าใหม่ในทุกกลุ่มสินค้ากว่า 30 แบรนด์ เพื่อขยายฐานลูกค้า และเพิ่มยอดขาย
ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาสินค้า เฮ้าส์แบรนด์มีการเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีแผนในการเพิ่มสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีหลังจะเพิ่มสินค้าเฮ้าส์แบรนด์วางตลาดอีก 4 ยี่ห้อ เช่น ยี่ห้อ Pepe Jeanes ซึ่งเป็นแบรนด์จากประเทศอังกฤษเข้ามาเจาะตลาดวัยรุ่น คาดจะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้ โดยบริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ เป็น 10% ในปี 55 จากปัจจุบันอยู่ที่ 7% เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง 30-40% เมื่อเทียบกับสินค้าแบรนด์ลิขสิทธิ์การจำหน่าย ที่มีมาร์จิ้น 20-25%
"ปีนี้เราดี อย่างครึ่งแรกเราเติบโตถึง 18% ภาพการใช้จ่ายของคนก็เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะต่างจังหวัด จากราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่ม คนก็กล้าซื้อ และดีกว่าในกรุงเทพด้วย ส่วนห้างที่สาขารัชดาที่จะหมดสัญญาในปีหน้า ถ้าในระยะยาวคงไม่ต่อ แต่คงต่อในระยะสั้นเราดูอยู่ว่าเจ้าของจะตัดสินใจอย่างไร" นายปรีชา กล่าว
กรรมการผู้จัดการใหญ่ ROBINS กล่าวต่อว่า บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งหลังปี 54 จะเปิดสาขาใหม่ 2 สาขา คือ พิษณุโลก ในเดือนต.ค และพระราม 9 ในเดือนพ.ย และขยายต่อเนื่องในปี 55 จำนวน 5 สาขา ได้แก่ สุพรรณบุรี บางนา บางแค กาญจนบุรี และสุราษฎร์ธานี โดยใช้งบลงทุน 500-700 ล้านบาท/สาขา
และจากการขยายสาขาส่งผลให้ในสิ้นปีนี้ บริษัทจะมีสาขา 25 สาขา และในปี 55 เป็น 30 สาขา จากปัจจุบันบริษัทอยู่ที่ 23 สาขา นอกจากนี้บริษัทจะมีการปรับปรุงสาขาเดิมเพื่อให้มความทันสมัย จำนวน 4 สาขา ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ อุดรธานี และรังสิต มูลค่าเงินลงทุน 250 ล้านบาท
ส่วนการขยายสาขาในต่างประเทศ ยอมรับว่ามีการศึกษา แต่คงจะยังไม่เห็นใน 5 ปี ข้างหน้า เพราะในประเทศไทยยังสามารถขยายได้ และความต้องการยังมีสูง รวมไปถึงนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศมีปริมาณการเข้าห้างสรรพสินค้าที่เพิ่มขึ้น ทั้ง จีน รัสเซีย เวียดนาม เป็นต้น โดยเม็ดเงินในการลงทุนถือว่ามีเพียงพอใน 2 -3 ปี โดยที่บริษัทไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินกู้ ปัจจุบันมีกระแสเงินสด กว่า 2 พันล้านบาท
สำหรับมาตราการของรัฐ ในการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท และเงินเดือนระดับปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท นั้นไม่กระทบต่อบริษัท เพราะรายได้พนักงานจะอยู่ในอัตราที่สูงกว่ากำหนด ถึงแม้พนักงานในต่างจังหวัดจะได้ในอัตรา 8.5 พันบาท/เดือน แต่บริษัทก็จะมีรายได้ในส่วนอื่นทดแทน ขณะเดียวกัน มาตราการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อบริษัทในแง่กำลังซื้อของผู้บริโภคที่มากขึ้น