ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก:ดาวโจนส์ร่วง 170.89 จุดหลังจำนวนคนว่างงานสหรัฐพุ่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 26, 2011 06:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (25 ส.ค.) หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานพุ่งขึ้นเกินคาดในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะซบเซาในตลาดแรงงานของสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากการที่นักลงทุนเข้ามาเทขายทำกำไรหลังจากที่ตลาดทะยานขึ้นติดต่อกันหลายวัน และจากการที่นักลงทุนเริ่มมีความหวังน้อยลงว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศใช้มาตรการเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 170.89 จุด หรือ 1.51% ปิดที่ 11,149.82 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 18.33 จุด หรือ 1.56% ปิดที่ 1,159.27 จุด ดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 48.06 จุด หรือ 1.95% ปิดที่ 2,419.63 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 5 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 3 ต่อ 1

ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงกว่า 1.5% เมื่อคืนนี้ โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากการที่นักลงทุนจำนวนมากคาดการณ์ว่า เบอร์นันเก้อาจจะไม่ส่งสัญญาณการใช้มาตรการเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมธนาคารกลางโลกซึ่งจะมีขึ้นในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์หลายกลุ่มมองว่า เบอร์นันเก้อาจจะเพียงแสดงความพร้อมในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านมาตรการบางด้านที่ไม่เร่งด่วน รวมถึงการปรับเปลี่ยนขนาดและสัดส่วนของหลักทรัพย์ต่างๆในพอร์ทลงทุนของเฟด

ในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นแข็งแกร่งเนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า เบอร์นันเก้อาจจะใช้เวทีการประชุมธนาคารกลางโลกครั้งนี้ส่งสัญญาณการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 หรือ QE3 หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงครึ่งปีแรก

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐที่ระบุว่าจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 20 ส.ค. เพิ่มขึ้น 5,000 ราย สู่ระดับ 417,000 ราย สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 405,000 ราย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงซบเซาและเป็นปัจจัยฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจ

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า แม้กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานพุ่งขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายในรอบสัปดาห์ที่แล้วนั้น มาจากข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในบริษัท เวริซอน คอมมูนิเคชันส์ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลในเรื่องตลาดแรงงานของสหรัฐลงได้

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กสามารถไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดของวันได้ เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ประธานบริหารบริษัท เบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ ประกาศว่า เบิร์กเชียร์จะเข้าลงทุนในแบงก์ ออฟ อเมริกา เป็นวงเงินมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 9% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 2.7% หุ้นซิตี้กรุ๊ปพุ่งขึ้น 4.8% ขณะที่หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ปรับตัวขึ้นด้วยเช่นกัน

ส่วนหุ้นแอปเปิลร่วงลง 0.7% หลังจากนายสตีฟ จอบส์ ผู้ร่วมก่อตั้งแอปเปิล ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานบริหาร (ซีอีโอ) และนายทิม คุ๊ก จะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งซีอีโอของแอปเปิลคนต่อไป นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย โดยรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค. และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่สองของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 2 ปี 2554

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า จีดีพีไตรมาส 2 ของสหรัฐจะขยายตัวเพียง 1.2% ลดลงจากการประมาณการครั้งแรกที่มีการขยายตัว 1.3% อันเนื่องมาจากผลกระทบของอัตราว่างงานที่ยังอยู่ในระดับที่สูงมาก และภาคการผลิตที่ชะลอตัวลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ