โบรกฯแนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ปตท.เคมิคอล(PTTCH)มองจังหวะราคาร่วงจากการขายหุ้นออกมาของต่างชาติพื่อปรับพอร์ตการลงทุนจากผลกระทบปัจจัยลบในต่างประเทศ เป็นโอกาสเข้าลงทุน เพราะคาดว่าผลประกอบการในปีนี้ตั้งแต่ไตรมาส 4/54 เป็นต้นไป ต่อเนื่องถึงปีหน้ายังเติบโตดี และการควบรวมกิจการกับ PTTAR เป็น timing ที่ดี เพราะธุรกิจทั้ง 2 สายอยู่ในวงจรที่เข้าสู่ช่วง peak สเปรดปิโตรเคมีปีหน้าน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ราคาหุ้นมี upside สูงมาก
โบรกฯ คำแนะนำ ราคาพื้นฐาน(บาท) บล.เอเซียพลัส ซื้อ 209 บล.เคจีไอ ซื้อ 190 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 198 บล.ดีบีเอสฯ ซื้อ 170 บล.ทิสโก้ ซื้อ 200
น.ส.อุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซียพลัส แนะ"ซื้อ"โดยคาดว่าแม้ไตรมาส 3/54 งบฯอาจจะออกมาไม่ดี แต่ไตรมาส 4/54 จะกลับมาดี และปีหน้าก็จะเป็นปีที่ดี โดยเฉพาะผลจากการควบรวมกิจการกับ บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR)ก็เป็น timing ที่ดีเพราะทั้งคู่อยู่ในวงจรขาขึ้น แต่เนื่องจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะมีผลต่อการเติบโตของดีมานด์ที่เชื่อมโยงกัน แต่การเพิ่มขึ้นของซัพพลายใหม่ในปีหน้าดีมานด์ก็ยังรองรับได้ดี เพราะฉะนั้นสเปรดที่มองไว้โดยรวมปีหน้าน่าจะดีกว่าปีนี้
เอเชียพลัส ให้ราคาเป้าหมาย PTTCH ที่ 209 บาท ยังมี upside สูงมาก แต่ยอมรับราคาหุ้นอาจจะผันผวนระหว่างทาง เพราะเป็นหุ้นที่ต่างชาติถือไว้มาก เมื่อตลาดรวมมีปัจจัยใดมากระทบก็อาจจะมีผลต่อหุ้นกลุ่มนี้ก่อน ส่วนพายุเฮอริเคนไม่มีผลกระทบ เพราะเกิดที่ต่างประเทศและปกติสหรัฐไม่ได้เป็นเจ้าตลาดปิโตรเคมี
นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)มองว่า ภาพรวม PTTCH ก่อนหน้านี้ปรับขึ้นไปมาก ขณะที่เชิงพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติปรับพอร์ต ทำให้มีการเทขายหุ้นในตลาดหุ้นไทยที่ขึ้นมาแรงเพื่อทำกำไร จากความกังวลเรื่องปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งการปรับลดลงของราคาหุ้น PTTCH น่าจะเป็นโอกาสให้ซื้อ เพราะมองกำไรในปีนี้และปีหน้ายังเติบโตดี โดยเฉพาะตั้งแต่ไตรมาส 4/54 เป็นต้นไป
ด้านนายเบญจพล สุทธิ์วนิช รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน เห็นว่า ราคาที่ลงมาเป็นการตอบรับผลประกอบการไตรมาส 3/54 ที่คาดว่าจะอ่อนตัวลง เพราะมีการหยุดซ่อมบำรุงหลายหน่วย ถึงแม้จะเป็นข่าวที่รับรู้อยู่แล้ว แต่เมื่อใกล้ถึงการประกาศงบการเงินก็มีการตอบรับเชิงในผลประกอบการ
ไตรมาส 3/54 คาดอัตรากำลังผลิตของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีต้นน้ำอ่อนตัวลงเหลือ 65-70% จากที่เคย run ปกติ 80% กว่า แต่ไตรมาส 4/54 หลังควบรวม PTTAR แล้วมองธุรกิจทั้ง 2 สายจะฟื้นตัวกำลังผลิตของ PTTCH จะกลับสู่ปกติสเปรดน่าจะเห็นการฟื้นตัว ขณะที่อะโรเมติกส์ไม่น่ามีปัญหา และราคาน้ำมันไม่ได้กดดันมาก ส่วนการควบรวมกิจการน่าจะเห็นชัดเจนในก.ย.หรือภายใน 2 สัปดาห์นี้น่าจะกำหนดวันประชุมผู้ถือหุ้นร่วม
บทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า ราคาหุ้น PTTCH ปรับลง 21% ในเดือนนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นที่มี Performance แย่ที่สุดในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี และราคาปัจจุบันสะท้อน EV/EBITDA 6.1 เท่าของบริษัทที่เกิดจากการควบรวมกิจการ เทียบกับที่ลงไปต่ำสุด 4.8 เท่าในปี 51 ซึ่งช่วงนั้นราคาน้ำมันดิบเท่ากับ 32 US$/bbl แต่เชื่อว่า Valuation ของหุ้น PTTCH จะไม่ลงไปที่ต่ำสุดในอดีต เมื่อพิจารณาจากการเก็งกำไรในสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบที่น้อยลง
แม้ในระยะสั้นผลประกอบการและราคาหุ้นจะมีความผันผวนสูง แต่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง โดยมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเท่าตัว และมีความยืดหยุ่นในการผลิตสูงหลังจากควบรวมกับ PTTAR โดยการควบรวมคาดว่าจะเสร็จในเดือนต.ค.54 รวมทั้งฐานะการเงินของ PTTCH แข็งแรง โดยมี Net gearing เท่ากับ 0.2 เท่า เราปรับเพิ่มราคาผลิตภัณฑ์และ Spread ของผลิตภัณฑ์ปี 54-57 ขึ้น ซึ่งทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 7-36% ในช่วงดังกล่าว