ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (29 ส.ค.) หลังจากมีรายงานว่าความเสียหายที่เกิดจากอิทธิพลของพายุเฮอริเคนไอรีน มีน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคของสหรัฐที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนก.ค. และข่าวการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารรายใหญ่ของกรีซ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์พุ่งขึ้น 254.71 จุด หรือ 2.26% ปิดที่ 11,539.25 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 33.28 จุด หรือ 2.83% ปิดที่ 1,210.08 จุด ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 82.26 จุด หรือ 3.32% ปิดที่ 2,562.11 จุด
ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นแข็งแกร่งหลังจากไคเนติก อนาไลซิส คอร์ป บริษัทที่ปรึกษารายใหญ่ของสหรัฐคาดการณ์ว่า ได้ปรับลดมูลค่าการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันอันเนื่องมาจากผลกระทบของพายุเฮอริเคนไอรีน ลงมาอยู่ที่ระดับ 7 พันล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มบริษัทประกันดีดตัวขึ้น โดยหุ้นออลสเตท คอร์ป พุ่งขึ้น 8.5% หุ้นฮาร์ทฟอร์ด ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส คอร์ป พุ่งขึ้น 13% หุ้นทราเวลเลอร์ คอส อิงค์ พุ่งขึ้น 5.1%
ส่วนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคพุ่งขึ้นหลังจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าพายุเฮอริเคนไอรีนไม่ได้สร้างความเสียหายมากเท่ากับที่ประเมินไว้เบื้องต้น โดยหุ้นดุ๊ค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 1.1% หุ้นคอนโซลิเดทเต็ด เอดิสัน อิงค์ พุ่งขึ้น 1.3%
ดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มขนาดเล็ก พุ่งขึ้น 4.7% ซึ่งบ่งชี้ว่านักลงทุนมีความต้องการเข้าเสี่ยงซื้อขายหุ้นบริษัทขนาดเล็กมากขึ้น แม้มีรายงานว่าบริษัทกลุ่มนี้มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจก็ตาม
หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 8.1% หลังจากแบงก์ ออฟ อเมริกายืนยันว่าจะขายหุ้นครึ่งหนึ่งที่ถืออยู่ในไชน่า คอนสตรัคชัน แบงก์ คอร์ป เพื่อระดมทุนในการทำตามกฎข้อบังคับของคณะกรรมการกำกับดูแลด้านการธนาคารของสหรัฐ นอกจากนี้ หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกายังได้แรงหนุนหลังจากนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ประธานบริหารบริษัท เบิร์คเชียร์ แฮทธาเวย์ ประกาศว่า เบิร์กเชียร์จะเข้าลงทุนในแบงก์ ออฟ อเมริกา เป็นวงเงินมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนเพิ่มขึ้นเมื่อกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคเดือนก.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.8% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 5 เดือน และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% เนื่องจากความต้องการรถยนต์ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลในสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ค. มากกว่าเดือนมิ.ย.ที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.2% และอัตราการออมเดือนก.ค.ลดลง 5% จากเดือนมิ.ย.ที่ระดับ 5.5%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากข่าวการควบรวมกิจการระหว่างยูโรแบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 2 ของกรีซ และอัลฟา ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 3 ของกรีซ ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนมั่นใจว่าจะช่วยหนุนภาคธนาคารของกรีซให้แข็งแกร่งขึ้นและสามารถรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากปัญหาหนี้สาธารณะได้
อย่างไรก็ตาม ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่เพียง 3.6 พันล้านหุ้น ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา และต่ำกว่าระดับเฉลี่ยของปีนี้ที่ 4.4 พันล้านหุ้น เนื่องจากนักลงทุนจำนวนมากชะลอการซื้อขายก่อนที่จะถึงวันหยุดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งตรงกับวันจันทร์ที่ 5 ก.ย.นี้ นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันอังคาร สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์จะเปิดเผยราคาบ้านเดือนมิ.ย., คอนเฟอเรนซ์บอร์ดจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือนส.ค. และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะ เปิดเผยรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 9 ส.ค.
วันพุธ ADP Employer Services จะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือนส.ค., สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) จะเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจรัฐนิวยอร์คเดือนส.ค., สมาคมผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อแห่งชาติ (NAPM) จะเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนส.ค. และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนก.ค.
วันพฤหัสบดี เฟดจะเปิดเผยประสิทธิภาพการผลิตไตรมาส, กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) จะเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนส.ค. ส่วนกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค.