นายสีหศักดิ์ อารีราชการัณย์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ.ลานนารีซอร์สเซส (LANNA) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซีย จำนวน 3 ราย เป็นเหมืองขนาดใหญ่ 1 แห่ง ขนาดปริมาณสำรอง 50 ล้านตัน มูลค่าสินทรัพย์เกิน 15% ของสินทรัพย์บริษัท และเป็นเหมืองขนาดเล็ก 2 แห่ง มีปริมาณสำรองแห่งละ 10 ล้านตัน ทั้งหมดเป็นเหมืองที่พร้อมเข้าไปดำเนินการได้
ทั้งนี้ คาดว่าน่าจะสรุปการเจรจาได้ในเดือนพ.ย. 54 ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ แต่หากไม่เสร็จก็สามารถเจรจาต่อได้ถึงเดือนมี.ค.55 เพราะบริษัทได้เซ็นข้อตกลง(MOU) ระหว่างกันว่าในช่วงนี้ให้การเจรจากับบริษัทก่อน
"ดีลในอินโดฯใกล้จบแล้ว อยู่ที่ทางเขาจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ทันหรือเปล่า เราตั้ง target จบดีลในเดือนพ.ย.นี้ แต่เราทำสัญญา MOU ว่าเราเจรจา Exclusive ไปจนถึงเดือน มี.ค.ปีหน้า...ตอนนี้เราดีล 3 แห่ง ใหญ่ 1 แห่ง เล็ก 2 แห่ง ถ้าเจรจาได้หมดก็ซื้อหมด" นายสีหศักดิ์ กล่าว
บริษัทมองว่าการเข้าซื้อเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียในช่วงนี้ จะได้ราคาที่ไม่สูงมาก เพราะอยู่ในช่วงการจัดระเบียบเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียทั้งหมด และหลังจากนั้นรัฐบาลอินโดนีเซียจะเปิดประมูลเหมืองถ่านหินที่ยังว่างอยู่ ซึ่งคาดว่า ราคาซื้อขายจะสูงมาก
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะนำบริษัท PT. LANNA MINING SERVICES เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นในประเทศอินโดนีเซีย เพื่อระดมทุนนำไปพัฒนาเหมืองใหม่ที่เข้าไปเจรจาซื้ออยู่ในขณะนี้ ทั้งนี้ LANNA ถือหุ้นในบริษัท PT. LANNA MINING SERVICES ในสัดส่วน 100% ทั้งนี้คาดว่าสิ้นปีนี้บริษัทจะผ่านคุณสมบัติการเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด จากนั้นจะเริ่มกระบวนการตั้งแต่แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งคาดว่าจะใข้เวลา 8 เดือนในการดำเนินการ แต่ทั้งหมดขึ้นกับการพิจารณาของคณะกรรมการบริษัทด้วย
นายสีหศักดิ์ ยังกล่าวว่าอีกว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลอินโดนีเซียบ่อยครั้งมาก ทำให้กังวลว่าอายุสัมปทานในเหมืองถ่านหิน อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ดังนั้น บริษัทจะเร่งรัดให้มีการพัฒนาเหมืองถ่านหินของบริษัทที่ดำเนินการอยู่ 2 แห่งคือเหมือง LHI และ SGP ภายใน 10-15 ปี ซึ่งอาจจะทำให้บริษัทก้าวกระโดด จากการผลิตถ่านหินได้มากกว่าแผนเดิม
ปัจจุบัน เหมือง LHI มีอายุสัมปทานอยู่ 19 ปี ส่วน เหมือง SGP มีอายุเหลือ 28 ปี
นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียอยู่ระหวางการกำหนดค่าความร้อนถ่านหิน ระหว่าง 5,700 AD กับ 5,100 AD ไม่ให้ส่งออกเพื่อต้องการไว้ใช้ในประเทศ คาดว่าน่าจะกำหนดค่าความร้อนที่ต่ำกว่า 5,100 AD เพราะหากสูงกว่านั้น จำนวนถ่านหินประมาณ 90% ของอินโดจะส่งออกไม่ได้
*มั่นใจปีนี้กำไรดีกว่าเป้า คาดแตะ 1 พันลบ.
นายสีหศักดิ์ คาดว่า กำไรสุทธิในปี 54 จะสามารถทำได้เกิน 1 พันล้านบาทที่เกินเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้ที่ 800-900 ล้านบาท สูงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 675 ล้านบาท แต่คาดว่าคงไม่ถึง 1.2 พันล้านบาท ส่วนรายได้ปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาเป็นมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 8.9 พันล้านบาท
เนื่องจากราคาขายปีนี้สูงขึ้นและปริมาณผลิตปีนี้อยู่ที่ 4 ล้านตัน จากเหมือง LHI ผลิตได้ 2.5 ล้านตัน และ เหมือง SGP ผลิตได้ 1.5 ล้านตัน เที่ยบกับปีก่อนผลิตได้ 3.6 ล้านตัน และคาดว่าปี 55 จะมียอดผลิตได้เกินกว่า 4.5 ล้านตันโดยเพิ่มจากเหมือง SGP ที่คาดว่าปีหน้าจะผลิตได้เกิน 2 ล้านตัน ส่วน LHI ผลิตได้เท่าเดิม
ทั้งนี้ คาดว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก ที่มีรายได้ 5.39 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 591.8 ล้านบาท โดยราคาเฉลี่ยในปีนี้อยู่ที่ 2,300 บาท/ตัน สูงกว่าปีก่อนที่มีราคา 2,000 บาท/ตัน
นายสีหศักดิ์ คาดว่าราคาถ่านหินในปี 55 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 5% โดยคาดว่าราคาถ่านหินในตลาด Newcastle ในช่วงต้นปี 55 จะขึ้นไปถึง 130 เหรียญ/ตัน โดยราคาจะเริ่มขยับในปลายปีนี้ แม้ว่าเกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรป แต่ในแถบเอเชียยังมีการเติบโตสูง โดยเฉพาะจีนและอินเดียยังมีความต้องการสูง ขณะที่บริษัทส่งออกในประเทศแถบเอเชีย ได้แก่ ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลี ส่วนซัพพลายมีไม่มาก โดยเฉพาะในอินโดนีเซียที่รัฐบาลเข้ามาจัดการกับเหมืองถ่านหินในประเทศมากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนกฎเกณฑ์ต่างๆ ด้วย
นอกจากนี้ บริษัทเลื่อนรับรู้รายได้กำไรจากการขายหุ้นบมจ.ไทยอะโกร เอ็นเนอร์ยี่(TAE) จากเดิมที่คาดว่าจะบันทึกได้ในไตรมาส 2/54 ไปเป็นปลายปีนี้หรือไตรมาส 4/54 เนื่องจากยังทำรายการไม่เสร็จ
อนึ่ง LANNA ได้ขายหุ้น TAE ให้กับบมจ.บางจาก ปิโตรเลียม จำนวน 246,037,733 หุ้น ราคาขาย 1.37 บาทต่อหุ้น