(เพิ่มเติม) PHATRA คาดรายได้-กำไร Q3/54 สูงกว่า Q2/54 ,ทั้งปีเป้ารายได้ 2.1 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 31, 2011 18:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทุนภัทร (PHATRA) คาดว่ารายได้และกำไรในไตรมาส 3/54 จะสูงกว่าไตรมาส 2/54 ที่มีรายได้ 637.8 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 233.1 ล้านบาท เนื่องจากส่วนหนึ่งมาจากกำไรจากพอร์ตการลงทุน และ ธุรกิจทุกฝ่ายเติบโตได้ดี

ทั้งนี้ ในปี 54 บริษัทตั้งเป้ารายได้ จำนวน 2.1 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกทำรายได้แล้ว 1.15 พันล้านบาท ภายใต้การประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะมีมูลค่าการซื้อขายวันละ 3 หมื่นล้านบาท ดัชนี SET ในปีนี้อยู่ที่ 1,150 จุด

ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมีสัดส่วนจากรายได้จากนายหน้าค้าหลักทรัพย์มากที่สุดเป็น 50% ของรายได้รวม รองลงมาเป็นธุรกิจวานิชธนกิจคิดเป็น 20% ของรายได้รวม ทั้งนี้ บริษัทคิดค่าธรรมเนียมนายหน้าค้าหลักทรัพย์เฉลี่ย 0.18-0.19% โดยลูกค้าสถาบันในและต่างประเทศเก็บ 0.17% และลูกค้าส่วนบุคคล 0.21%

"ธุรกิจลงทุน เราถือว่าราคาหุ้นสูงได้ขายไปเมื่อต้นไตรมาส 3/54 ประมาณ 1 ใน 3 ของพอร์ต ด้านเทรดดิ้งก็ดี เดือนส.ค.ตลาดหุ้นผันผวนทำให้เกิด activity ต่างๆ ธุรกิจวานธนกิจก็ดี โดยรวมทุกธุรกิจในไตรมาส 3 ดีกว่าไตรมาส 2 " นายอภินันท์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าประเมินตลาดในระยะต่อไปค่อนข้างยาก ในส่วนการลงทุนของพอร์ตบริษัทเองจะเข้าลงทุนซื้อหุ้นหรือไม่ ต้องรอดูเดือน ก.ย. และแนะให้ลงทุนในหุ้นกลุ่ม domestic play โดยลดการลงทุนหุ้นที่พึ่งพาหรือเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ เช่น กลุ่มส่งออก

ส่วนนายบรรยงค์ พงษ์พานิช ประธานกรรมการ PHATRA กล่าวว่า ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติยังเข้ามาตลาดหุ้นไทยทั้งซื้อและขายหุ้นออกไป ดังนั้น มั่นใจว่าไม่มีวันที่นักลงทุนต่างชาติจะขายออกจากตลาดหุ้นไทยไปทั้งหมด เพราะตัวเลขฟรีโฟลตของนักลงทุนต่างชาติ (ไม่รวมผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจดทะเบียน) มีประมาณ 2 ล้านล้านบาท

นายอภินันท์ กล่าวว่า บริษัทจะขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆมากขึ้น เพื่อเพิ่มสินทรัพย์การบริหารของลูกค้ามากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าส่วนบุคคลในรูปกองทุนส่วนบุคคลที่มีสินทรัพย์บริหาร 1.4 แสนล้านบาทในปัจจุบันและคาดว่าจะเพิ่มเป็น 1.6 แสนล้านบาทในสิ้นปีนี้ และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 2 แสนล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า

ขณะเดียวกัน ในปลายปี 54 จะเปิดการให้บริการเป็นที่ปรึกษากองทุนส่วนบุคคล(Private FUND)ซึ่งมีทีมงานครบแล้วกว่า 40 คน และมีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้แก่ มูลนิธิ สหกรณ์ เป็นต้น โดยตั้งเป้าภายในสิ้นปี 55 จะมีสินทรัพย์บริหาร 8,000-10,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมจะให้บริการการเข้าลงทุน Hedge Fund ราวต้นปี 55 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างสร้างผลงานที่ได้เริ่มบริหารเมื่อ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยใช้เงินทุนของบริษัทวงเงิน 350 ล้านบาท บริหารโดยผู้จัดการกองทุนสัญชาติสหรัฐด้วยโปรแกรมที่สามารถลงทุนได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง ที่ผ่านมา 6 เดือนลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีผลตอบแทนประมาณ 10%

นายอภินันท์ ยังกล่าวว่า ภายใน 1-2 เดือนนี้บริษั่ทตัดสินใจคัดเลือกพันธมิตรที่อยู่ระหว่างเจรจากันอยู่ในมาเลเซียและสิงคโปร์ เพื่อให้มีเวลาเตรียมตัวจัดระบบ และเริ่มเชื่อมต่อกับตลาดหุ้น ASIAN Linkgage ที่จะเริ่มมีผลในไตรมาส 2/55 โดยลักษณะเป็นความร่วมมือระหว่างกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ