ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 53.58 จุดรับข้อมูลศก.สหรัฐสดใส

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 1, 2011 06:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (31 ส.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยว่ายอดสั่งซื้อของโรงงานอุตสาหกรรมภายในประเทศพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนก.ค. และภาคเอกชนเพิ่มการจ้างงานในเดือนส.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังคงได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในการประชุมเดือนหน้า

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 53.58 จุด หรือ 0.46% แตะที่ 11,613.53 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 5.97 จุด หรือ 0.49% แตะที่ 1,218.89 จุด ดัชนี Nasdaq ปิดบวก 3.35 จุด หรือ 0.13% แตะที่ 2,579.46 จุด

ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อของโรงงานอุตสาหกรรมภายในประเทศ พุ่งขึ้น 2.4% ในเดือนก.ค. สู่ระดับ 4.532 แสนล้านดอลลาร์ มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.9% เพราะได้แรงหนุนจากความต้องการรถยนต์และเครื่องบินที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ในระยะฟื้นตัว

ขณะที่ ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านตลาดแรงงานในสหรัฐเปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 91,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. โดยข้อมูลตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของ ADP มีขึ้นก่อนที่กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนส.ค.ในคืนนี้

นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดจะประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากรายงานการประชุมประจำวันที่ 9 ส.ค.ของเฟดระบุว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายบางคนของเฟดได้ระบุถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสาม (QE3) ซึ่งรวมถึงการเข้าซื้อพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐอีก นอกจากนี้ คณะกรรมการเฟดยังได้หารือกันเกี่ยวกับรขายหลักทรัพย์ที่ยังไม่ครบกำหนดไถ่ถอนในระยะใกล้นี้ และซื้อสินทรัพย์ที่มีกำหนดไถ่ถอนในระยะเวลาที่นานกว่า ซึ่งนับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวปรับตัวลดลง และจะช่วยหนุนเศรษฐกิจได้ในอีกทางหนึ่ง

ทั้งนี้ รายงานการประชุมของเฟดถือเป็นการส่งสัญญาณว่า คณะกรรมการเฟดอาจจะตัดสินใจใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.นี้

อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นเพียงปานกลาง เนื่องจากนักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสื่อสาร หลังจากมีรายงานว่า กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐพยายามใช้ข้อกำหนดทางกฎหมายเพื่อยับยั้งการไม่ให้บริษัท เอทีแอนด์ที ควบรวมกิจการกับที-โมบาย ยูเอสเอ โดยระบุว่าการควบรวมกิจการซึ่งคาดว่าต้องใช้วงเงินสูงถึง 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์นั้น จะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันในอุตสาหกรรมสื่อสาร ซึ่งข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นเอทีแอนด์ทีร่วงลง 3.9%

แซม สโตวอลล์ นักวิเคราะห์จากอิควิตี้ รีเสิร์ช ซึ่งเป็นหน่วยงานของสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า นักลงทุนยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อภาวะการซื้อขายในเดือนก.ย. แม้ในทางสถิติพบว่าเดือนก.ย.มักจะเป็นเดือนที่ภาวะการซื้อขายซบเซามากที่สุดของปีก็ตาม แต่ถึงกระนั้นก็ตาม สโตวอลล์มองว่า แนวโน้มการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กอาจจะได้รับแรงกดดันจากความเสี่ยงทางเทคนิค

หุ้นจอย โกลบอล ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ดีดตัวขึ้น 1.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการพุ่งขึ้น 36% เนื่องจากความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์จำพวกทองแดงและถ่านหินทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งการพุ่งขึ้นของหุ้นจอย โกลบอล ได้ช่วยหนุนหุ้นแคทเตอร์พิลลาร์ ปรับตัวขึ้น 1.3% ด้วยเช่นกัน

ขณะที่หุ้นอัลโค อิงค์ ผู้ผลิตอลูมิเนียมรายใหญ่ระดับโลก พุ่งขึ้น 3.6% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหุ้นกลุ่มเหมือง 30 ตัวที่คำนวณในดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี เฟดจะเปิดเผยประสิทธิภาพการผลิตไตรมาส, กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) จะเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตเดือนส.ค.

ส่วนวันศุกร์กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนส.ค. โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าตัวเลขจ้างงานจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 75,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่งถึง 117,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนส.ค.จะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 9.1%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ