ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (2 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยรอบใหม่ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าตัวเลขจ้างงานไม่มีการขยายตัวในเดือนส.ค.
ดัชนี Stoxx 600 ร่วงลง 2.4% ปิดที่ 233.11 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสร่วงลง 117.30 จุด ปิดที่ 3148.53 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีดิ่งลง 192.30 จุด ปิดที่ 5538.33 จุด ส่วนดัชนี FTSE 100 ร่วงลง 126.62 จุด ปิดที่ 5,292.03 จุด ซึ่งเป็นการร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค.เป็นต้นมา
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยลบจากกระแสความวิตกกังวลที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยรอบใหม่ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรหยุดชะงักในเดือนส.ค. โดยไม่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก.ค. ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 75,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราว่างงานเดือนส.ค.อยู่ที่ระดับ 9.1% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก.ค.
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหลังจากต้นทุนการประกันการผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรประเภท Credit-default swaps (CDS) ของรัฐบาลใน 15 ประเทศของยุโรป พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยหุ้นธนาคารบาร์เคลย์สร่วงลง 8.4% หุ้นธนาคารลอยด์ แบงกิง กรุ๊ป ดิ่งลง 7.1% และหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ (RBS) ร่วงลง 5.4%
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า สำนักงานบริการการเงินเพื่อที่อยู่อาศัยของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FHFA) เตรียมยื่นฟ้องธนาคารขนาดใหญ่กว่า 10 แห่ง ซึ่งอาจรวมถึงเจพีมอร์แกน เชส, โกลด์แมน แซคส์, ดอยช์ แบงก์ และแบงก์ ออฟ อเมริกา ในกรณีบิดเบือนคุณภาพของสัญญาจำนองที่ทางธนาคารนำออกมาขายในช่วงที่เกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐ
หุ้นแอสทราเซเนกา ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของยุโรป ร่วงลง 3.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลการศึกษายา Crestor ซึ่งมีสรรพคุณช่วยลดคลอเรสเตอรัลในเลือดนั้น มีประสิทธิภาพสูงกว่ายา Lipitor ของบริษัทไฟเซอร์ซึ่งเป็นคู่แข่ง
หุ้นหุ้นเปอร์โยต์ เอสเอ ในกลุ่มรถยนต์ร่วงลง 6% หุ้น Cie. de Saint-Gobain SA ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์วัสดุก่อสร้างรายใหญ่ของยุโรป ดิ่งลง 6%