นายวิเชียร พงศธร กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทพรีเมียร์ เปิดเผยว่า ทางกลุ่มตั้งเป้ารายได้รวมปี 54 เติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมกันประมาณ 5 พันกว่าล้านบาท โดยคาดว่าบมจ.พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง(PM) ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคจะมีรายได้ประมาณ 3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 2.9 พันล้านบาท, บมจ.พรีเมียร์ เทคโนโลยี(PT) ดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจะมีรายได้ประมาณ 2 พันล้านบาท จากปีก่อนที่ 1.5 พันล้านบาท และบมจ.พรีเมียร์เอ็นเตอร์ไพรซ์(PE) ดำเนินธุรกิจบริการด้านการเงินจะมีรายได้ที่ 500 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 476 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิของทั้ง 3 บริษัทในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาก็เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังก็คงจะใกล้เคียงกับช่วงครึ่งปีแรก
"เรามีบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ 3 บริษัท รายได้รวมกัน 5 พันกว่าล้านบาท ตั้งเป้าปีนี้จะเติบโต 10%กว่า ถ้ารวมบริษัทข้างนอกโดยก็เพิ่มอีก 1-2 พันล้านบาท รวมเป็น 7 พันกว่าล้านก็คิดว่าจะยังเติบโต 10%...ปีนี้ปัจจัยแวดล้อมต่างๆอยู่ในสภาพที่ปกติ ไม่เหมือนปีก่อนที่มีความวุ่นวายทางการเมือง ผลประกอบการครึ่งปีแรกแต่ละบริษัทก็ออกมาดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ครึ่งปีหลังก็คงใกล้เคียงกัน"นายวิเชียร กล่าว
นายวิเชียร กล่าวถึง ราคาหุ้นบมจ.พรีเมียร์ เทคโนโลยี (PT) และบมจ.พรีเมียร์เอ็นเตอร์ไพรซ์ (PE) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าน่าจะมาจากการที่นักลงทุนมีความมั่นใจในการดำเนินงานของบริษัทมากขึ้น หลังผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกที่ออกมาค่อนข้างดี
"ที่จริงก็ไม่ทราบว่าทำไมหุ้นถึงขึ้น ก็คิดว่านักลงทุนคงมีความมั่นใจสูงขึ้น ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกก็ดีขึ้น ขณะที่ในเชิงพื้นฐานเราก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง"นายวิเชียร กล่าว
ทั้งนี้ ทางกลุ่มยังมีบริษัทที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คือ บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจเสริมสร้างและพัฒนาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนได้ในกลางปี 55 โดยมีแผนที่จะระดมทุนประมาณ 500-600 ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจโดยทั่วไป รวมทั้งขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน ซึ่งถือเป็นธุรกิจใหม่ของบริษัท ทั้งนี้มีบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) (KGI) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
"บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด จะถือเป็นบริษัทที่ 4 ของเราที่จะอยู่ในตลาดฯ ตอนนี้อยู่ระหว่างการเตรียมรายละเอียด มีบล.เคจีไอ เป็น FA คาดว่าจะยื่นเรื่องต่อกลต.ได้ในช่วงไตรมาส 1/55 และซื้อขายราวกลางปี เงินระดมทุนก็ใช้สำหรับธุรกิจที่ดำเนินอยู่แล้ว และธุรกิจพลังงานทดแทนที่เราจะเข้าไป ปีที่แล้วมีรายได้ 800 กว่าล้านบาท"นายวิเชียร กล่าว
ปัจจุบัน บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด ได้มีการร่วมทุนกับพันธมิตรจากประเทศไต้หวัน ในการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 5 เมกกะวัตต์ ที่จังหวัดสระบุรี มูลค่า 600 กว่าล้านบาท ซึ่งจะมีการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ราคาส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) 8 บาทต่อหน่วย
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 10 เมกกะวัตต์ ร่วมกับพันธมิตรไต้หวันรายเดิมอีก ที่จังหวัดสระบุรีและปราจีนบุรี บนพื้นที่รวมกันกว่า 120 ไร่ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 1 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงไตรมาส 4/54 นี้ และจะเริ่มขายไฟในปี 55
"เราเริ่มลงทุนโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ขนาด 5 เมกกะวัตต์มาตั้งแต่ช่วงปลายปี 53 โดยร่วมทุนกับพันธมิตรไต้หวันก่อตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ โดยเราถือหุ้น 25% หรือประมาณ 60 กว่าล้านบาท ก็มีแผนที่จะถือหุ้นเป็น 50% ภายใน 6 เดือนนี้ซึ่งต้องใช้เงินอีกราว 100 กว่าล้านบาท โครงการก็มูลค่า 600 กล่าวล้านบาท ใช้เงินกู้ 70% ที่เหลือเป็นกระแสเงินสด ตอนนี้เราก็มีแผนลงทุนอีก 10 เมกกะวัตต์กับพันธมิตรรายเดิม ได้ Adder ที่ 8 บาทเท่ากัน มูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท คาดว่าจะกู้ 2 ใน 3"นายวิเชียร กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมยื่นโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 50 เมกกะวัตต์ ที่จังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทรา ต่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตพิจารณา โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 5 พันล้านบาท
"โรงไฟฟ้า 50 เมกกะวัตต์ เราก็เตรียมยื่นโครงการให้กฟผ.พิจารณา ตอนนี้ก็อยู่ระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ก็ต้องรอความชัดเจน รอดูราคา Adder ใหม่ด้วย ก็คงเป็นเงินกู้ 2 ใน 3 และเงินสด 1 ใน 3 จากมูลค่าโครงการ 5 พันล้าน นอกจากนี้เราก็มีแผนที่จะลงทุนโครงการพลังานทดแทนด้านอื่นๆอย่างพลังงานลมก็ศึกษาอยู่"นายวิเชียร กล่าว
*PM ตั้งเป้ารายได้ปี 54 โต 7-8% จาก 2.9 พันลบ.ในปี 53
นายสมชาย ชุณหรัศมิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค PM กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี54 โต 7-8% จากปี53 ที่มีรายได้ 2.9 พันล้านบาท หลังครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้แล้ว 1.5 พันล้านบาท โดยการเติบโตของรายได้ในปีนี้เป็นไปตามยอดขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปลาเส้นปลาแผ่น "ทาโร่" และข้าวเกรียบกุ้ง "คาลบี้" ด้านยอดขายผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ากระป๋องซึ่งส่งออก 100% โดยตลาดหลักอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ยอดขายลดลงเล็กน้อย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ากระป๋องสำหรับสัตว์เลี้ยง
ล่าสุด บริษัทได้รับคัดเลือกเป็นผูแทนจำหน้ายสินค้าให้กับคู่ค้ารายใหม่ในกลุ่มธุรกิจอาหาร ซึ่งจะเริ่มจัดจำหน่ายในวันที่ 1 ต.ค. 54 สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในระยะยาวบริษัทมีแผนที่จะหาพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุน รวมถึงการเข้าไปควบรวมกิจการกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจใกล้เคียงกัน เพื่อเป็นการเพิ่ทศักยภาพในการดำเนินธุรกิจในภาพรวม
"ในระยะยาวเราก็มีความต้องการที่จะเข้าไปร่วมทุนกับพันธมิตร หรืออาจจะเป็นการควบรวมกิจการกับคนที่ดำเนินธุรกิจใกล้เคียงกับเรา และมีขนาดใกล้กัน ก็คงเป็นในส่วนของธุรกิจอาหาร ซึ่งเขาอาจจะเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือเจ้าของโรงงานผลิตก็ได้ ซึ่งเราก็จะอาศัยการตลาดรวมทั้งช่องทางการจัดจำหน่ายของเราเข้าไปช่วย"นายสมชาย กล่าว
ด้านนายสมชาย เลิศสุทธิรัศมีวง กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ อินเตอร์ ลิสซิ่ง จำกัด ดำเนินธุรกิจรถยนต์เช่าระยะยาว ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบมจ.พรีเมียร์เอ็นเตอร์ไพรซ์ (PE) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการให้บริการรถยนต์เช่าในปีนี้ที่ 484 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 442 ล้านบาท หลังคาดว่าภายในสิ้นปี 54 จะมีรถยนต์ให้เช่าเพิ่มเป็น 1,830 คัน จากปัจจุบันที่ 1,769 คัน ประกอบกับบริษัทจะเข้าไปให้บริการรถโดยสารรับส่งพนักงานเพื่อเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง
นายหะริน อุปรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดาต้าโปร คอมพิวเตอร์ ซิสเต็มส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บมจ.พรีเมียร์ เทคโนโลยี(PT) ถือหุ้นอยู่ 100% กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการปี 54 น่าจะออกมาดีกว่าปี 53 ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง โดยปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้ 1.5 พันล้านบาท และกำไรที่ 28 ล้านบาท
"ปีนี้น่าจะดีกว่าปีก่อนที่มีเรื่องการเมืองทำให้ครึ่งปีแรกเราขาดทุนไป 26 ล้านบาท แล้วค่อยมามีกำไรในครึ่งหลัง แต่ครึ่งปีแรกของปีนี้เรากำไรแล้ว 41 ล้านบาท ทั้งปีก็น่าจะดีขึ้น"นายหะริน กล่าว