ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กวิตกหนี้ยุโรปลุกลาม ฉุดดาวโจนส์ร่วง 100.96 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 7, 2011 06:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (6 ก.ย.) ซึ่งเป็นการปิดลบติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า ผู้นำยุโรปจะไม่สามารถควบคุมปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มยูโรโซนได้ และปัญหาดังกล่าวอาจจะฉุดรั้งเศรษฐกิจและภาคธนาคารให้ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน หลังจากสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการขยายตัวได้ดีเกินคาดในเดือนส.ค.

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 100.96 จุด หรือ 0.90% ปิดที่ 11,139.30 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 8.73 จุด หรือ 0.74% ปิดที่ 1,165.24 จุด ดัชนี Nasdaq ลดลง 6.50 จุด หรือ 0.26% ปิดที่ 2,473.83 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 4.4 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 3 ต่อ 1

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของปัญหาหนี้ยุโรป หลังจากการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่กรีซและทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสหภาพยุโรป (อียู) ได้หยุดชะงักลงเมื่อวันศุกรที่ผ่านมา เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับแผนรัดเข็มขัดของกรีซ

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ข่าวดังกล่าวทำให้ตลาดกังวลว่ากรีซอาจจะไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินรอบใหม่ หลังจากกรีซไม่สามารถดำเนินการตามเงื่อนพื้นฐานและเงื่อนไขปลีกย่อยของอียูและไอเอ็มเอฟ รวมถึงการแปรรูปสินทรัพย์ของรัฐบาลไปเป็นเอกชน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นว่าอาจจะมีการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะของกรีซภายในเวลาอีกไม่เดือน

ส่วนสถานการณ์ในเยอรมนีนั้น มีรายงานว่ากลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้ออกมาแสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลเยอรมนีล้มเหลวในการจัดการกับปัญหาหนี้ยุโรป ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า แรงกดดันทางการเมืองในเยอรมนีอาจจะเป็นอุปสรรคขัดขวางเยอรมนีจนไม่สามารถให้ความช่วยเหลือประเทศอื่นๆในยูโรโซนได้ นอกจากนี้ การที่พรรคคริสเตียน เดโมเครติคส์ (ซีดียู) ของนางแองเกลา แมร์เคล พ่ายแพ้การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ก็ยิ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ชาวเยอรมนีขาดความเชื่อมั่นในการบริหารประเทศของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคซีดียู

หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงหลังจากสำนักงานบริการการเงินเพื่อที่อยู่อาศัยของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FHFA) เตรียมยื่นฟ้องธนาคารขนาดใหญ่ 17 แห่งที่เป็นผู้ออกตรารหนี้ที่มีสินเชื่อบ้านเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน (MBS) ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน, โกลด์แมน แซคส์ ดอยช์ แบงก์ และแบงก์ ออฟ อเมริกา โดย FHFA ระบุว่าธนาคารเหล่านี้ไม่ได้ตรวจสอบมูลค่าสินทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันหนี้ และไม่ตรวจสอบสถานะการเงินของผู้กู้อย่างรอบคอบ ซึ่งเมื่อผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้จดจำนองได้ จึงทำให้ตราสารที่ตั้งอยู่บนฐานของหนี้เสื่อมค่าไปด้วย

ทั้งนี้ หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 4% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ดิ่งลงเกือบ 3.4% ส่วนหุ้นยูบีเอสร่วงลงกว่า 10%

ส่วนหุ้นเอ็กซอน โมบิล ในกลุ่มพลังงาน และหุ้นอัลโค อิงค์ ในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ปรับตัวลดลงกว่า 1% อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจอาจทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงด้วย

ขณะที่หุ้นฮิวเล็ต-แพคการ์ด ดิ่งลง 2.9% และหุ้นเจนเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ร่วงลง 3.2%

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนในระหว่างวัน หลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการเดือนส.ค.ขยายตัวที่ระดับ 53.3 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ค.ที่ขยายตัว 52.7 จุด และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 51.0 จุด

ทั้งนี้ การขยายตัวที่ดีเกินคาดในภาคบริการของสหรัฐช่วยหนุนหุ้นไฟเซอร์อิงค หุ้นแคทเตอร์ พิลลาร์ และหุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ดีดตัวขึ้นด้วย

นักลงทุนจับตาดูการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธธนาคารกลางสหรัฐจะเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) วันพฤหัสบดี กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนก.ค. และกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลสต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนก.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ