โบรกฯเชียร์"ซื้อ"MAJOR คาดกำไร Q3/54 ดีต่ออาจทำนิวไฮหลังหนังดีฉายเพียบ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 13, 2011 10:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์เห็นพ้องแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป(MAJOR)มองแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 3/54 จะดีต่อเนื่องจากไตรมาส 2/54 ที่มีกำไรสุทธิ 293 ล้านบาทที่อยู่ในระดับดี เนื่องจากมีหนังฟอร์มยักษ์ทยอยเข้าฉายต่อเนื่อง และมีโอกาสทำนิวไฮได้ อีกทั้งมองว่าจะดีต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 4 ปีนี้ด้วยที่ยังมีหนังจากฮอลีวู้ด ส่วนใหญ่เป็นภาคต่อ เข้าฉายมากขึ้น

คาดหมายปี 54 เป็นปีที่บริษัทมีกำไรที่แข็งแกร่ง ประเมินไว้ที่ 856-895 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 762 ล้านบาท เป็นผลจากที่มีภาพยนต์ระดับยักษ์เข้าฉายหลายเรื่อง เช่น ตำนานพระนเรศวร ภาค 3 - 5 , Transformer 3, Harry Potter 7.2, The Twilight 4, Mission Impossible 4, และ Sherlock Holmes 2

รวมทั้งรายได้จากโฆษณาในโรงหนังที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และการบริหารจัดการการขายตั๋วได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงการปรับราคาตั๋วหนัง และการเพิ่มโรงหนัง 3D และ 4D ทั้งหมดช่วยผลักดันให้รายได้บริษัทปรับตัวดีขึ้น

          โบรกเกอร์       คำแนะนำ       ราคาเป้าหมาย(บาท)
          บล.ธนชาต          ซื้อ           21.20
          บล.กิมเอ็ง          ซื้อ           21.50
          บล.กสิกรไทย        ซื้อ           20.25
          บล.เกียรนาคิน       ซื้อ           19.19
          บล.ฟิลลิป           ซื้อ           19.30

นายดิษฐนพ วัธนเวคิน นักวิเคราะห์จาก บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจในปี 54 ของ MAJOR ดีเนื่องจากหน้าหนังออกมาดีมากๆ เท่าที่เคยพบมาทั้งหนังไทยและหนังต่างประเทศ โดยหนังไทยที่ทำรายได้ดี ได้แก่ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่เข้าฉาย 3 ภาคพร้อมกันในปีนี้ ซึ่งภาค 3 ทำรายได้กว่า 200 ล้านบาท ภาค 4 ทำได้ 122 ล้านบาท อีกทั้งยังมีเรื่อง สุดเขตเสลดเป็ด ทำรายได้ 120 ล้านบาทเมื่อต้นปี เรื่องลัดดาแลนด์ 113 ล้านบาท ส่วนมีหนังต่างประเทศ ได้แก่ Transformer 3 , Harry Potter ภาคจบ, Captain America เป็นต้น

"หน้าหนังในไตรมาส 3 ดีใกล้เคียงในไตรมาส 2 ทำให้แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3/54 ดีทรงตัวกับไตรมาส 2/54 ที่มีผลประกอบการดี โดยกำไรในไตรมาส 3 น่าจะมีแนวโน้มดีอยู่ต่อเนื่อง"นายดิษฐนพ กล่าว

นอกจากนี้ สื่อโฆษณาผ่านโรงหนัง มีแนวโน้มดีขึ้นด้วยจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศขยายตัว โดยคาดธุรกิจโฆษณาปีนี้จะเติบโต 10-12% อีกทั้ง รายได้เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการปรับราคาตั๋วหนัง โดยมีการเพิ่มโรงหนัง 3D และเพิ่มสัดส่วนโรงหนังดิจิตอลมากขึ้น เป็นส่วนผลักดันรายได้

ทั้งปี 54 ประมาณการกำไรสุทธิไว้ที่ 856 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อนซึ่งมีกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ประมาณกว่า 100 ล้านบาท

ด้านนายสยาม ติยานนท์ นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3/54 จะดีต่อเนื่องจากไตรมาส 2/54 เนื่องจากมีหนังที่ทำเงินได้เกิน 100 ล้านบาทในไตรมาส 3 นี้จำนวน 3 เรื่องแล้ว จึงแนะ"ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมายที่ 19.30 บาท

"คิดว่าในไตรมาส 3/54 ตัวหนังก็ดี น่าจะส่งผลให้กำไรดีต่อเนื่อง ไตรมาส 2 กับไตรมาส 3 ปีก่อนตัวเลขก็สูง แต่ในไตรมาส 3/54 อาจะทำนิวไฮกว่าปีที่แล้ว เพราะปีนี้ภาพยนต์ค่อนข้างเด่น หนังหลายเรืองมีภาคจบ อย่างพระนเรศวรฯ แฮรี่พอร์เตอร์ "นายสยาม กล่าว

ส่วนในไตรมาส 4/54 หนังฟอร์ยักษ์ที่จะเข้าฉาย เช่น The Twilight Saga : Breaking Dawn - Part 1, Mission Impossible : Ghost Protocol, Sherlock Holmes, ตำนานสมเด็จพระนเรศวร 5 และยังมีภาพยนตร์รอง ๆ อีกหลายเรื่อง

คาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 เป็น 895.51 ล้านบาท จาก 762 ล้านบาทในปี 53

ขณะที่ บล.ธนชาต มองว่า ผลการดำเนินงานกำลังเติบโตต่อเนื่องจากปริมาณขายที่ดีขึ้น, ราคาตั๋วที่สูงขึ้นและอัตรากำไรที่สูงขึ้น การเติบโตของยอดขายสาขาเดิมที่แข็งแกร่ง (30%y-y ใน 1H11) ถูกผลักดันจากจำนวนผู้มาใช้บริการและราคาตั๋วชมภาพยนตร์เฉลี่ยที่สูงขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่มีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้นและมีภาพยนตร์เข้าฉายที่ดีเท่านั้น

แต่ยังมาจากการบริหารจัดการผู้มาใช้บริการและราคาตั๋วที่ดีขึ้น เช่น การออกโปรโมชั่นที่จัดเป็นช่วงเวลา, การให้ความสะดวกในการซื้อตั๋ว, โปรแกรมสำหรับลูกค้าประจำ และการเสนอเทคโนโลยีใหม่ (ดิจิตอลและ 4D) ราคาตั๋วภาพยนตร์เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 7%y-y ใน 1H11 และเราคาดว่าจะเติบโตอีก 5% ในปี 2012F ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่มี operating leverage และอัตรากำไรขั้นต้นสูง โดยคาดว่าจะเติบโตจาก 33.5% ในปี 2010 และ 35.2% ใน 1H11 มาอยู่ที่ 37% ในปี 2012F

ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ยังคงมีภาพยนตร์ทำเงินเข้าฉายต่อเนื่อง โดยเป็นภาพยนตร์ภาคต่อหลายเรื่อง ทั้งภาพยนตร์ฮอลลีวูดและภาพยนตร์ไทย อาทิเช่น Harry Potter 7.2, Final Destination 5, King Naresuan 4 และ 5, Spy Kid 4, The Twilight 4, Mission Impossible 4, และ Sherlock Holmes 2 นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์ 2 เรื่อง จากบริษัทย่อย MPIC เข้าฉายอีกด้วย บริษัทฯ น่าจะมีรายได้โฆษณาในช่วงครึ่งหลังปีนี้ สูงกว่าครึ่งแรกปี 54 กำไรจากการดำเนินงานครึ่งหลังปีนี้ คาดว่าจะโต 60%y-y และทรงตัว h-h เนื่องจากฐานที่สูง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ