นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.(PTT) กล่าวว่า โครงการโรงแยกก๊าซธรรมชาติโรงที่ 7 จะดำเนินการต่อไปได้หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาปริมาณก๊าซจากแหล่งในประเทศว่ามีเพียงพอหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้ประเมินว่าก๊าซฯในอ่าวไทยจะหมดลงในอีก 15-20 ปีข้างหน้า ดังนั้น หากมีก๊าซฯ จากโครงการพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาเข้ามาเชื่อว่าจะทำให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานมากขึ้น
ส่วนความคืบหน้าแผนการควบรวมกิจการระหว่าง บมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR)กับ บมจ.ปตท.เคมิคอล(PTTCH) นั้น นายไพรินทร์ กล่าวว่า ยังคงเป็นไปตามแผนงานเดิมที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3-4/54 ขณะนี้ผ่านการพิจารณาของที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของทั้ง 2 บริษัท และ ปตท.แล้ว
ขณะที่ประเด็นการเพิ่มทุนของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) นั้น นายไพรินทร์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่คณะกรรมการบริษัท PTTEP จะเป็นผู้พิจารณาเอง
"นโยบายการดำเนินงานของ ปตท.จะเดินไปตามแนวทางที่นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ฯ ได้วางไว้ รวมไปถึงแผนการดำเนินงาน 5 ปี เพื่อเป็นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ ไม่รู้สึกหนักใจ เพราะเป็นแผนงานร่วมกันที่เดินมาตั้งแต่ต้น"นายไพรินทร์ กล่าว
สำหรับนโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรกและปรับลดภาษีนิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 ในปี 55 นั้น นายไพรินทร์ มองว่า จะช่วยให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยในส่วนของการลดภาษีนิติบุคคล บริษัทเอกชนสามารถนำเงินปลงทุนต่อได้ ซึ่งในส่วนของ ปตท.แต่ละปีจะมีการจ่ายภาษีประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็จะช่วยลดรายจ่ายลง 7% ทำให้มีเงินเหลือไปลงทุนตามแผนงานได้
ส่วนนโยบายคืนภาษีรถยนต์ หากทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 5 แสนคันก็จะทำให้อุตสาหกรรมต่อเนื่อง รวมทั้งเกษตรกรได้รับผลดีไปด้วย เพราะรถยนต์ 1 คันจะมีการใช้ยางรถยนต์ 5 เส้นต่อคัน เท่ากับจะขายยางรถยนต์เพิ่มได้อย่างน้อย 2.5 ล้านเส้น รวมถึงเม็ดพลาสติกก็จะขายได้เพิ่มขึ้น เพราะรถยนต์ 1 คัน จะมีการใช้เม็ดพลาสติก 100 กิโลกรัม ทั้งนี้ คาดว่านโยบายดังกล่าวจะไม่ทำให้การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นมากนัก เพราะรถที่ได้รับสิทธิประโยชน์เป็นรถเล็กขนาดไม่เกิน 1,500 ซี.ซี.ซึ่งจะใช้น้ำมันในปริมาณน้อย