นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาน้ำมันขณะนี้ คาดเดายาก เพราะยังมีความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจในยุโรป โดยขณะนี้ ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 106 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ประมาณ 120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
และคาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศจะเฉลี่ยไม่แตกต่างราคาในปัจจุบัน หากประเทศในยุโรปไม่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจอยางรุนแรง หรือมีการปรับโครงสรางราคาพลังงาน เช่น การปรับภาษีน้ำมัน การเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
อย่างไรก็ตาม จากราคาพลังงานที่อยู่ในระดับปัจจุบัน ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทพลังงานอยู่ในระดับที่ดี โดยในส่วนของ ปตท.ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีกำไรประมาณกว่า 6 หมื่นล้านบาท และคาดว่าในไตรมาส 3 ผลประกอบการยังเป็นไปได้ดี ส่งผลให้ทั้งปีนี้รายได้เกิน 2 ล้านล้านบาทอย่างแน่นอน ถือว่าเป็นปีที่ดีมาก
ส่วนกรณีที่รัฐบาลมีมติขยายระยะเวลาการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลต่อไปอีก 3 เดือน นายประเสริฐ เห็นว่า เป็นนโยบายที่ดี เพราะทำให้ราคาน้ำมันนดีเซลในประเทศไม่ปรับสูงขึ้น แม้การลดภาษีน้ำมันดีเซล จะทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้เดือนละประมาณ 1 หมื่นล้านบาท หรือปีละกว่า 1.2 แสนล้านบาท แต่จะช่วยลดภาระค่าครอบชีพให้กับประชาชน และไม่ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนกับนโยบายรัฐบาลในการดูแลราคาน้ำมัน
แต่เชื่อว่าในที่สุด รัฐบาลคงจะต้องกลับมาเก็บภาษีน้ำมันทุกชนิด เพื่อให้มีเม็ดเงินมาใช้ในการพัฒนาประเทศ โดยรัฐบาลควรทยอยเก็บภาษีจากน้ำมันดีเซล 20-30 สตางค์ต่อลิตร เพื่อให้ครบตามจำนวนที่ปรับลดภาษีในอัตรา 5.30 บาทต่อลิตร ภายใน 1 ปี
สำหรับนโยบายลดภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาล เห็นว่า จะเป็นประโยชน์ เพราะช่วยให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยเป็นเจ้าของรถยนต์คันแรก และสนับสนุนให้อุตสาหกรรมรถยนต์ขยายตัวต่อเนื่อง พร้อมยอมรับว่านโยบายดังกล่าวอาจทำให้การใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น แต่ถือเป็นเรื่องปกติ และเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อนโยบายพลังงานทดแทนของประเทศ เพราะรถยนต์ที่อยู่ในข่ายได้รับสิทธิประโยชน์จากนโยบายนี้สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี20 ได้