นายสมฤกษ์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยฮา(KASET)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทปรับประมาณการรายได้ในปี 54 ลดลงมาเป็น 1.8 พันล้านบาท จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 2 พันล้านบาท และจากปีก่อนที่มีรายได้ 1.7 พันล้านบาท เนื่องจากครึ่งปีแรกรายได้ทำได้ 725 ล้านบาทต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้
แต่คาดว่าในครึ่งปีหลังยอดขายจะปรับตัวดีขึ้นมาได้จากราคาส่งออกที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องหลังจากที่รัฐบาลประกาศที่จะเดินหน้าดำเนินนโยบายรับจำนำข้าว โดยปัจจุบันราคาข้าวหอมมะลิส่งออกที่ตันละ 1,100 เหรียญ หรือประมาณ 31 บาท/กก. ราคาล่วงหน้าในเดือน ก.ย.อยู่ที่ 32 บาท/กก. และคาดว่าจะปรับขึ้นมาเป็น 35-40 บาท/กก.หรือ 1,200 -1,400 เหรียญ/ตัน ในช่วงที่เปิดรับจำนำข้าวในประเทศต้นเดือนต.ค.นี้ ซึ่งนับว่าเป็นสถิติสูงสุด ทั้งนี้ ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ราคาข้าวส่งออกปรับขึ้นไปแล้วประมาณ 100 เหรียญ/ตัน
นายสมฤกษ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีออเดอร์ทยอยเข้ามาเพราะเชื่อว่าจะมีการปรับราคาขึ้นอีก และบริษัทเชื่อว่าราคาจะปรับขึ้นแรงตามสินค้าโภคภัณฑ์ในหมวดแป้งที่ปรับตัวขึ้นไปแล้ว เช่น ข้าวโพด เป็นต้น แต่บริษัทจะไม่รับออเดอร์มากนักเพราะอาจกลายเป็นความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าหากราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่งอาจจะแข่งขันลำบาก แต่เฉพาะข้าวหอมมะลิมองว่าเป็นตลาดของผู้มีรายได้ จึงไม่น่าจะกระทบมากนัก ทั้งนี้ KASET ส่งออกข้าวหอมมะลิประมาณ 80-90%
นอกจากนี้ คาดว่าในไตรมาส 3/54 หรือไตรมาส 4/54 บริษัทจะกลับมามีกำไรได้จากครึ่งปีแรกขาดทุน 8.79 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทแข็งค่า ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงาน และคาดว่าจากราคาข้าวที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะนี้จะช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ไว้ที่ระดับ 14-15% จากครึ่งปีแรกทำได้ 12%
"แนวโน้มผลประกอบการทั้งกำไรและรายได้ในครึ่งปีหลัง จะดีกว่าครึ่งปีแรก รายได้ปีนี้เราปรับเป้าหมายลดลง 10% จาก 2 พันล้านบาทเป็น 1.8 พันล้านบาท เราทบทวนเมื่อเดือนที่แล้ว(ส.ค.)" นายสมฤกษ์ กล่าว
ส่วนสินค้าเกษตรสำเร็จรูป โดยเฉพาะสินค้าวุ้นเส้นและวุ้นเส้นกึ่งสำเร็จรูป มีสัดส่วนรายได้กว่า 10% หรือประมาณ 200 กว่าล้านบาท โดยขณะนี้บริษัทได้เปิดตัววุ้นเส้นสำเร็จรูปแบบถ้วยแข่งกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โดยคาดหวังมีส่วนแบ่งตลาดในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีมูลค่าตลาดถึง 1 หมื่นล้านบาท