นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยออยล์(TOP) คาดผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ยังเป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน(Stock loss) ไม่มากเหมือนกับปีที่ผ่านมา โดยขณะนี้บริษัทฯ มีกำลังการกลั่น 100% และคาดว่า ในเดือน ต.ค.นี้จะสามารถเริ่มผลิตน้ำมันมาตรฐานยุโรป(ยูโรโฟร์) ได้เป็นรายแรกของประเทศ
ส่วนความคืบหน้าการเข้าซื้อกิจการ 2-3 โครงการเพื่อต่อยอดธุรกิจ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องทั้งในส่วนของโรงกลั่นและปิโตรเคมี คาดว่า จะมีข้อสรุปในปลายปีนี้ โดยจะใช้เงินในการดำเนินการประมาณ 300-500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นงบผูกพัน 2-3 ปี
สำหรับกรณีรัฐบาลต่ออายุมาตรการภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลต่อไปจนถึงสิ้นปีนี้ นายสุรงค์ เชื่อว่าจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากราคาขายปลีกไม่ปรับสูงขึ้น ดังนั้นบริษัทฯ จะลดปริมาณการส่งออกน้ำมันดีเซล จากปัจจุบันที่ส่งออกอยู่ประมาณ 30-50 ล้านลิตรต่อเดือน จากที่ผลิตได้ 1 แสนบาร์เรลต่อวัน เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการใช้ในประเทศ เนื่องจากในช่วง 1-2 เดือนนับจากนี้ โรงกลั่น 2 แห่งจะหยุดซ่อมบำรุงเพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำมันตามมาตรฐานยูโรโฟร์ พร้อมยืนยันจะมีปริมาณน้ำมันเพียงพอต่อความต้องการใช้ของประเทศ
นายสุรงค์ ยังกล่าวถึงมาตรการคืนภาษีให้กับผู้ซื้อรถยนต์คันแรกว่า จะทำให้การใช้น้ำมันและน้ำมันหล่อลื่นเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) ที่เป็นบริษัทในเครือไทยออยล์ให้มียอดขายเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่สัดส่วนการขายในตลาดร้อยละ 50 เพราะโครงการนี้กำหนดโควต้ารถยนต์ที่จะได้สิทธิประโยชน์ถึง 5 แสนคัน
ส่วนปัญหาวิกฤติการเงินของกรีซไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลก เนื่องจากนักลงทุนให้ความสำคัญกับปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นหลัก โดยเฉพาะมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน ระยะที่ 3 ว่าจะประกาศออกมาหรือไม่ ซึ่งแนวโน้มราคาน้ำมันในปีนี้ จะแกว่งตัวในระดับ 105-110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็นไปตามที่ไทยออยล์ได้ประเมินไว้ก่อนหน้านี้