นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ(SIRI) เปิดเผยว่า หลังจากในวันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติโครงการบ้านหลังแรก โดยเงื่อนไขหลักและกฎเกณฑ์ที่นำเสนอเป็นบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ผู้ซื้อบ้านหลังแรกสามารถนำไปขอลดหย่อนภาษีได้ 10% ของราคาบ้านที่ซื้อ โดยแบ่งลดหย่อนปีละเท่าๆ กัน เป็นระยะเวลา 5 ปี เริ่ม 22 ก.ย.ถึงสิ้นปี 55 ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อผู้ซื้อที่อยู่อาศัย รวมถึงส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางล่างมีการอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นในปีนี้
ปัจจุบันกลุ่ม SIRI มีจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยที่สามารถรองรับมาตรการบ้านหลังแรกของรัฐบาลได้เป็นจำนวนถึง 8,300 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นจำนวนที่อยู่อาศัยที่จะโอนภายในปี 55 จำนวน 3,500 ยูนิต มูลค่า 8,000 ล้านบาท และที่อยู่อาศัยใหม่สำหรับการขายภายใต้ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท จำนวน 4,800 ยูนิต มูลค่า 12,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.5 ล้านบาท
อาทิ โครงการที่อยู่อาศัยที่มีระดับราคาขายเฉลี่ยตั้งแต่ 1.02-4.85 ล้านบาท ได้แก่ คอนโดมิเนียม ในโครงการ blocs77, TEAL Sathorn-Taksin (ทีล สาทร-ตากสิน), ONYX Phaholyothin (ออร์นิกซ์ พหลโยธิน) , WYNE Sukhumvit (วายน์ สุขุมวิท) และ CEIL by Sansiri (ซีล บาย แสนสิริ)
บ้านเดี่ยวในโครงการบ้านพร้อมพัฒน์ ไพร์ม, ฮาบิเทีย 3 โครงการ 3 ทำเล ราชพฤกษ์-บางใหญ่-วัชรพล, สราญสิริ 3 โครงการ ประชาอุทิศ-สุขสวัสดิ์, ท่าข้าม-พระราม 2 และพหลโยธิน-สายไหม รวมถึง ทาวน์เฮาส์ในโครงการทาวน์พลัส เทพารักษ์, ทาวน์พลัส ประชาอุทิศ, ทาวน์พลัส เอ็กซ์ ประชาชื่น, ทาวน์ อเวนิว พระราม 9 — พระราม 2 — ศรีนครินทร์ และโครงการ V-Village เฟส 1, ฮาบิทาวน์ วัชรพล เป็นต้น
นอกจากนี้ปัจจุบันบริษัทยังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีการพัฒนาที่อยู่อาศัยแบบพรีคาส เพื่อส่งมอบที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยโรงงานพรีคาสแห่งใหม่ ซึ่งเป็นระบบ Fully Automatic Robot ที่จะเริ่มการผลิตในไตรมาส 1/55 นั้น จะทำให้บริษัทสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เพิ่มมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน รวมทั้งช่วยควบคุมต้นทุนทางการเงินสำหรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ
การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ เพื่อส่งมอบให้กับลูกค้านั้น ในส่วนของโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์จะเป็นการก่อสร้างและส่งมอบให้กับลูกค้าที่เป็นไปตามเฟสต่างๆ โดยใช้ระยะเวลาการก่อสร้างโดยเฉลี่ย 75-90 วันเท่านั้น ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมจะเป็นโครงการที่มีการเปิดขาย และขายหมดตั้งแต่ 1-2 ปีที่ผ่านมาและก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามสัญญา ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าบริษัทจะสามารถส่งมอบที่อยู่อาศัยได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนดของมาตรการบ้านหลังแรกอย่างแน่นอน พร้อมทั้งยังเร่งกำลังการผลิตเพื่อให้ทันมาตรการบ้านหลังแรกผ่านระบบพรีคาสเพิ่มอีกเป็นมูลค่า 5,000 ล้านบาท
“ผลของมาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีให้ตลาดที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะตลาดระดับกลาง-ล่าง ซึ่งเป็นกลุ่มที่บริษัทมีฐานลูกค้าอยู่เป็นจำนวนมากมีอัตราการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้ ทั้งนี้ ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทแสนสิริได้เปิดตัวการขายโครงการที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียมใจกลางเมือง โครงการทาวน์เฮาส์ โครงการบ้านแฝด รวมถึงโครงการที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ในรูปแบบช้อปเฮาส์ โดยมีการสร้างแบรนด์และการรับรู้เกี่ยวกับโครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทประสบความสำเร็จในด้านการขายเป็นอย่างมาก เห็นได้จากยอดขายที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากในแต่ละปี โดยขณะนี้บริษัทมียอดขายแล้วกว่า 16,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 62% จากเป้าหมายยอดขายในปีนี้ที่ตั้งไว้ 26,000 ล้านบาท" นายเศรษฐา กล่าว