ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์บวก 7.65 จุด ตลาดจับตาประชุมเฟดคืนนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 21, 2011 06:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (20 ก.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมระยะเวลา 2 วันซึ่งจะเสร็จสิ้นในคืนวันพุธที่ 21 ก.ย.ตามเวลาไทย นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากข่าวรัฐบาลกรีซสามารถประมูลขายพันธบัตรได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดเป็นไปอย่างผันผวน เพราะตลาดได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของปัญหาหนี้สาธารณะในยูโรโซน หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลีลง 1 ขั้น

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 7.65 จุด หรือ 0.07% ปิดที่ 11,408.66 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 2.00 จุด หรือ 0.17% ปิดที่ 1,202.09 จุด และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 22.59 จุด หรือ 0.86% ปิดที่ 2,590.24 จุด

ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 3.8 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วนเกือบ 2 ต่อ 1

ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นเนื่องจากการคาดการณ์ที่ว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) จะประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยมีการคาดการณ์ในวงกว้างว่าเฟดอาจจะใช้มาตรการ "Operation Twist" หรือการเพิ่มอายุการไถ่ถอนของสินทรัพย์ในงบดุล แทนการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสาม (QE3) โดยมีเป้าหมายเพื่อกดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้น

กระแสคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด รวมถึงนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟด ได้ออกมาแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทางการสหรัฐรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2 ขยายตัวเพียง 1.3%

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนเพิ่มขึ้นจากรายงานของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะของกรีซ (PDMA) ที่ระบุว่า รัฐบาลกรีซสามารถระดมทุนครั้งล่าสุดได้ 1.625 พันล้านยูโร หรือ 2.22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการออกพันธบัตรชุดใหม่อายุ 3 เดือน ด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 4.56% ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการประมูลครั้งก่อน

อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวนเนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของวิกฤติหนี้ยุโรป หลังจาก S&P ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลีลง 1 ขั้น สู่ระดับ A/A-1 จากอันดับเดิมที่ A+/A-1+ พร้อมกับคงแนวโน้มความน่าเชื่อถือไว้ที่ "เชิงลบ" ซึ่งหมายความว่า S&P อาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของอิตาลีลงอีก เนื่องจากเศรษฐกิจของอิตาลีซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของยูโรโซนนั้น ยังคงมีแนวโน้มการขยายตัวที่อ่อนแอ

ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันมากขึ้นเมื่อมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบของยุโรปจะเลื่อนเวลาการตัดสินใจเรื่องการให้ความช่วยเหลือกรีซครั้งใหม่ออกไปเป็นเดือนต.ค. ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่ากรีซอาจจะไม่รอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบหลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกลงเหลือ 4% ในปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 4.3% โดยนายโอลิเวอร์ บลองชาร์ด หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟระบุว่า เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ "ระยะที่เป็นอันตราย" แล้ว

หุ้นราล์ฟ ลอเรนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 154.62 ดอลลาร์ หลังจากนักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นราล์ฟ ลอเรน เนื่องจากยอดขายของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นมาก

ขณะที่หุ้นแอปเปิล อิงค์ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 422.86 ดอลลาร์ หลังจากเว็ดบุช ซิเคียวริตีส์ ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์รายใหญ่ของสหรัฐ ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นแอปเปิลขึ้นสู่ระดับ 530 ดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 510 ดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม หุ้นคอนกรา ฟู๊ดส์ ดิ่งลง 1.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรรายไตรมาสลดลง 42% เนื่องจากต้นทุนปรับตัวสูงขึ้น

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านในเดือนส.ค.หดตัวลง 5% สู่ระดับ 571,000 ยูนิตต่อปี ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 590,000 ยูนิตต่อปี และข้อมูลดังกล่าวเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดด้วย

นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพุธ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติจะเปิดเผยยอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค. วันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานจะจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และคอนเฟอเรนซ์บอร์ดจะเปิดเผยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนส.ค.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 20-21 ก.ย.นี้ โดยมีการคาดการณ์ว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) จะใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ