(เพิ่มเติม) BCP เตรียมรีแบรนด์ดิ้งสถานีบริการ, แผนลงทุน 5 ปี(54-58) ราว 2.5 หมื่นลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 21, 2011 10:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากปิโตรเลียม (BCP) เปิดเผยว่า บางจากฯ จะมีการรีแบรนด์สถานีบริการใหม่เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่หมด โดยการสร้างสถานีบริการใหม่จะใช้เงินลงทุนประมาณ 60-70 ล้านบาทต่อสถานี และในเดือนต.ค.-พ.ย. จะเปิดสถานีบริการใหม่เป็น Green Station เพื่อจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยภายใน 1-2 ปี จะมี 20 แห่ง ใน กทม. และปีหน้าจะมีสถานีบริการใหม่อีก 5 ตัว เน้นใน กทม. และต่างจังหวัด จากปัจจุบันบางจากฯมีสถานีบริการ 1,050 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งแผนที่จะทำเทคโอเวอร์ และรีแบรนด์ดิ้ง จะทำให้ส่วนแบ่งการตลาดในประเทศของบางจากฯ ขึ้นมาเป็นที่ 2 รองจาก ป ตท.

สำหรับผลประกอบการของบางจากฯ ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับที่ดีมาก หากราคาน้ำมันในช่วงปลายปีไม่ต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยในช่วงครึ่งปีแรกบางจากฯ มีการทำกำไรแล้วกว่า 4.4 พันล้านบาท ส่วนครึ่งปีหลังอาจจะกำไรน้อยกว่าในช่วงครึ่งปีแรก เพราะราคาน้ำมันมีความผันผวน แต่ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันยังดีอยู่ เพราะช่วงก่อนหน้านี้ที่ประเทศญี่ปุ่นมีปัญหาวิกฤตทำให้ขายน้ำมันให้ญี่ปุ่นได้เยอะ และมองว่ายังดีต่อเนื่องเพราะมีโรงกลั่นใหม่เกิดขึ้นน้อย และในเอเชียโดยเฉพาะจีน อินเดีย และอินโดนีเซีย มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันยังมีปริมาณมาก

ส่วนค่าการกลั่นน้ำมันในปีหน้า ก็เชื่อว่าจะดีเช่นกัน โดยค่าการกลั่นเฉลี่นในภาพรวมของธุรกิจคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 6-8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งค่าการกลั่นของบางจากฯ จะใกล้เคียงกับภาพรวม โดยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 6.50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

นายอนุสรณ์ กล่าววถึงแผนการลงทุนของบางจากฯ ในช่วง 5 ปี (54-58) คาดว่า จะใช้เงินประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน ประมาณ 9.5 พันล้านบาท ลงทุนในโครงการปลูกปาล์มน้ำมันและสาหร่ายดำ 1 พันล้านบาท และลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 118 เมกะวัตต์ อีก 1.5 หมื่นล้านบาท

โดยการลงทุนในโรงกลั่นน้ำมันในปีหน้าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3 พันล้านบาท จะเป็นการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงกลั่นน้ำมันให้มีความทันสมัยมากขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพการกลั่นน้ำมันให้เต็มกำลังการผลิตของโรงกลั่นที่มีกำลังการกลั่นสูงสุดที่ประมาณ 1.2 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยจะเริ่มก่อสร้างหน่วยเพิ่มค่าออกเทนในโรงกลั่นน้ำมันเพื่อทดแทนของเก่า ซึ่งจะมี 2 หน่วย รวมกำลังการผลิต 1.45 หมื่นบาร์เรลต่อวัน จะขยายกำลังการผลิตที่เป็นคอขวด (De-bottleneck) เพิ่มขึ้นอีก และจะก่อสร้างโรงไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่นใหม่เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิมที่มีอายุเก่ามากกว่า 20 ปีแล้ว โดยจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจาก 20 เมกะวัตต์ในปัจจุบันให้เป็น 30 เมกะวัตต์ เพื่อรองรับการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของโรงกลั่น

หลังจากที่ 2-3 ปีก่อนได้มีการลงทุนหน่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (Product Quality Improvement) ไปแล้ว เพื่อลดการผลิตน้ำมันเตาแล้วเปลี่ยนเป็นการผลิตน้ำมันดีเซล และน้ำมันอากาศยานให้มากขึ้น นอกจากนี้ ปีก่อนก็ได้มีการลงทุนติดตั้งหน่วยเร่งปฎิกิริยา (catalyst) เพื่อที่จะใช้เพิ่มกำลังการผลิตของโรงกลั่นแล้วเสร็จไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมาแล้วด้วย ทำให้ดโรงกลั่นน้ำมันสามารถกลั่นเฉลี่ยได้เพิ่มขึ้นมาในระดับ 9 หมื่น ถึง 1.1 แสนบาร์เรลต่อวัน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย.ที่ผ่านมา โรงกลั่นน้ำมันของบางจากฯ สามารถเดินเครื่องได้เต็มกำลังการผลิตที่ 1.2 แสนบาร์เรลต่อวัน ในบางช่วง เนื่องจากญี่ปุ่นมีความต้องการนำเข้าน้ำมันเตาในสเปคที่บางจากผลิตได้เพื่อไปใช้ในประเทศ ในช่วงที่ญี่ปุ่นประสบปัญหาแผ่นดินไหว และคลื่นสึนามิ ประกอบกับราคาน้ำมันทุกประเภทในช่วงนั้นมีราคาสูง ทำให้น้ำมันเตาที่ผลิตได้จากโรงกลั่นบางจากฯ สามารถขายได้หมด จึงทำให้เดินเครื่องโรงกลั่นได้เต็มกำลังการผลิตที่ 1.2 แสนบาร์เรลต่อวัน ซึ่งหากต้องการให้กำลังการกลั่นของโรงกลั่นบางจากฯ เดินได้เต็มศักยภาพตลอดเวลา ต้องมีการลงทุนเพิ่ม

ทั้งนี้ บางจากฯ อยู่ระหว่างการจัดหาผู้รับเหมาในโครงการก่อสร้างหน่วยเพิ่มค่าออกเทนใหม่ และกำลังจัดทำรายงานผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) อยู่ โดยคาดว่าทั้ง 3 โครงการจะไม่ถูกต่อต้าน เพราะเป็นการสร้างในพื้นที่โรงกลั่นน้ำมันเดิม และเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้น ลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมน้อยลง น่าจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนในบริเวณใกล้เคียงโรงกลั่นน้ำมัน

สำหรับแผนลงทุนอื่นๆ บางจากฯ มีแผนที่จะลงทุนสร้างสถานีบริการน้ำมันในประเทศเพื่อนบ้าน 3 ประเทศ คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พม่า และกัมพูชา โดยจะเริ่มที่ลาวและพม่าก่อน จากปัจจุบันที่มีการขายส่งน้ำมันไปพม่าอยู่แล้วแต่มีปริมาณไม่มาก ซึ่งในปีหน้าตั้งเป้าไว้ว่าอาจจะเห็นการสร้างปั๊มน้ำมันในประเทศเพื่อนบ้าน 1 ปั๊ม แต่ยังไม่มีการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์เหมือนเมืองไทย

ขณะที่การจำหน่ายน้ำมันเครื่องของบางจากฯ ขณะนี้มีการขยายตัวมากโดยเฉพาะการส่งออกไปประเทศจีน และฟิจิ ขณะนี้กำลังพิจารณาว่าจะส่งออกไปขายในประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

นายอนุสรณ์ กล่าวถึงการจำหน่ายน้ำมันตามมาตรฐานยุโรป ระดับ 4 หรือ ยูโร 4 ยืนยันว่าจะเริ่มใช้ได้ต้นปีหน้าตามกำหนดในวันที่ 1 ม.ค. 55 แน่นอน โดยในส่วนของบางจากฯ จะเริ่มผลิตน้ำมันยูโร 4 ออกมาขายได้ในเดือนพ.ย.นี้ และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 55 จะผลิตได้หมดทุกประเภท

อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้บางจากฯ สามารถผลิตยูโร 4 ได้แล้วบางส่วน และส่วนที่ผลิตออกมาขายตลาดในประเทศได้รับการชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 24 สตางค์ต่อลิตร อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าซึ่งเป็นกำหนดที่ผู้ค้าทุกรายจะต้องจำหน่ายน้ำมันยูโร 4 จะมีการยกเลิกการชดเชย และจะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศสูงขึ้น เพราะต้นทุนในการลงทุนผลิตน้ำมันยูโร 4 ของแต่ละรายสูงมาก โดยน้ำมันดีเซลจะเพิ่มขึ้น 80 สตางค์ต่อลิตร ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮออล์ และเบนซิน จะเพิ่มขึ้น 1 บาทต่อลิตร ซึ่งบางจากฯ เห็นว่ารัฐบาลจะต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ทราบในเรื่องนี้ และขณะนี้ผู้ประกอบการอยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงพลังงาน ว่าจะมีการดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร โดยอาจจะมีการทยอยปรับราคาขึ้น 2-3 ครั้งจนครบจำนวนที่จะต้องขึ้น ในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกลดลง หรือรัฐบาลอาจจะเข้ามาจ่ายชดเชยราคาน้ำมันดีเซลในกรณีที่ราคาดีเซลอาจจะแพงเกิน 30 บาทต่อลิตร และอาจจะต้องขยายระยะเวลาการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลออกไป นอกจากนี้ ควรมีการขยับเพดานราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มอีก 1-2 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันตรึงอยู่ให้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร

นอกจากนี้ บางจากฯ สนใจที่จะลงทุนสร้างสถานีบริการก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) โดยจะสร้างในปั๊มน้ำมันของบางจาก เพราะในปีหน้าโรงกลั่นบางจากจะผลิตแอลพีจีได้เพิ่มขึ้นอีก 6 พันตันต่อเดือน จากปัจจุบันมีอยู่แล้ว 6 พันตันต่อเดือน เพราะตั้งแต่เดือนพ.ย.นี้ จะมีก๊าซธรรมชาติเข้ามาในระบบของโรงกลั่นบางจากฯเพิ่มขึ้น ทำให้มีแอลพีจีมาป้อนสถานีบริการได้ โดยตั้งเป้าว่าในปีหน้าจะลงทุนสร้างสถานีบริการแอลพีจี 5-10 แห่งใน กทม. และต่างจังหวัด โดยจะใช้เงินลงทุน 5-10 ล้านบาทต่อสถานี โดยมองว่าการใช้แอลพีจีมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในอนาคตจะมีการปรับราคาขึ้นแต่ก็ไม่สูงเท่าราคาน้ำมัน

ส่วนการขยายการลงทุนในสถานีบริการก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ (เอ็นจีวี) ยังไม่มีการขยายเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีอยู่ 17 แห่ง เนื่องจากเอ็นจีวีมีปัญหาปริมาณก๊าซฯ ไม่พอ จึงไม่มั่นใจที่จะขยายการลงทุนเพิ่ม

สำหรับนโยบายลดภาษีสรรพสามิตให้รถคันแรก มองว่า ไม่น่าจะทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันเติบโตขึ้นมากนัก แต่เชื่อว่าจะทำให้ยอดขายของ E20 เพิ่มขึ้น เพราะรถยนต์ใหม่ส่วนมากใช้น้ำมัน ฎ20 ได้ จากปัจจุบันบางจากมีสถานีบริการ E20 จำนวน 500 ปั๊ม ปีหน้าจะเปิดอีก 200 ปั๊ม โดยปกติ E20 มียอดขายที่ 9 ล้านลิตรต่อเดือน คาดว่าจะทำให้ยอดขายเพิ่มอีก 20% ในปีหน้า ส่วนยอดขายโซฮอล์ 95 และ 91 จะลดลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ