นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. บางจากปิโตรเลียม (BCP) กล่าวถึงแผนการรุกธุรกิจเพื่อก้าวสู่ผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ ของบางจากฯ ว่า ได้ตั้งเป้าหมายลงทุนผลิตไฟฟ้ารวม 500 เมกะวัตต์ โดยจะมีโรงไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ประมาณ 70-80 โรง คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาท โดยบางจากฯ สนใจจะลงทุนติดตั้งแผงเซลล์อาทิตย์บนหลังคา หรือ roof top ในโรงเรียน และปั๊มน้ำมันของบางจากเอง เพราะเชื่อว่าต้นทุนการผลิตจะแข่งขันได้ในอนาคต
สำหรับโครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ หรือ Sunny Bangchak ขณะนี้มีสัญญาจำหน่ายไฟฟ้ารวม 118 เมกะวัตต์ โดยโครงการระยะแรกขนาด 38 เมกะวัตต์ ที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา บนพื้นที่กว่า 500 ไร่ เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าตั้งแต่เดือนส.ค. 54 ที่ผ่านมา สำหรับโครงการระยะที่สอง ขนาด 32 เมกะวัตต์ ณ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา และ อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ ขณะนี้อยู่ระหว่างออกประมูลจัดซื้อแผงเซลล์แสงอาทิตย์และจัดจ้างผู้รับเหมาติดตั้ง คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาส 4 ปีนี้ และสามารถขายไฟได้ในไตรมาสที่ 4 ในปี 55 หลังจากนั้น จึงจะเริ่มพัฒนาโครงการส่วนที่เหลือขนาด 48 เมกะวัตต์ ในปีถัดไป
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า คาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวสูงถึง 200 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นๆ จะปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน รวมทั้งก๊าซฯ ที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของไทย เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป ขณะที่ต้นทุนของเทคโนโลยีผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากปัจจุบันเฉลี่ย 80-100 ล้านบาทต่อ 1 เมกะวัตต์ จะเหลือประมาณ 40-50 ล้านบาทต่อ 1 เมกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่าการผลิตไฟฟ้าจากฟอสซิล แต่ต่างกันตรงไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เป็นพลังงานสะอาดจากธรรมชาติ โดยที่ผ่านมาประเทศไทยใช้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์เพียง 1% เท่านั้น ภาครัฐจึงควรพิจารณาขยายการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ให้มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และลดการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นทางออกหนึ่งที่สำคัญที่จะมาทดแทนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นอกเหนือจากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินสะอาด เนื่องจากที่ตั้งของประเทศไทยมีศักยภาพสูง สภาพอากาศเป็นเมืองร้อน มีแสงแดดแรงตลอดทั้งปี ส่งผลให้นักลงทุนโซล่าร์เซลล์ในเมืองไทย หันมาสนใจพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์มากยิ่งขึ้น