ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้และขยายธุรกิจในอนาคต อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในประเทศไทย ตลอดจนผลงานที่เป็นที่ยอมรับในโครงการก่อสร้างภาครัฐและโครงการที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมทั้งรายได้ที่สม่ำเสมอจากการลงทุนในกิจการสัมปทาน โดยความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกบั่นทอนบางส่วนจากภาระหนี้ที่สูงเนื่องจากการลงทุนในกิจการสัมปทาน รวมทั้งความเสี่ยงจากสัญญาก่อสร้างแบบคงที่(Fixed-price Contract) และลักษณะที่ผันผวนของอุตสาหกรรมก่อสร้าง
แนวโน้มอันดับเครดิต“Stable"หรือ“คงที่"สะท้อนถึงความคาดหวังว่าอัตราส่วนกำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในระยะปานกลาง ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทประสบความสำเร็จในการเพิ่มปริมาณงานรับเหมาก่อสร้างที่จะช่วยเสริมสร้างกระแสเงินสดให้แข็งแกร่งได้ในระยะปานกลาง โดยการมีอันดับเครดิตที่ดีขึ้นนั้นบริษัทจำเป็นจะต้องมีภาระหนี้ที่ลดลงและต้องแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรักษาโครงสร้างทางการเงินที่ดีขึ้นดังกล่าวเอาไว้ได้ในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า CK เป็นหนึ่งในผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่จำนวน 3 รายของประเทศ บริษัทมีประสบการณ์ด้านการก่อสร้างที่ครอบคลุมและกว้างขวางตั้งแต่งานโยธาโครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงโครงการที่มีความซับซ้อนสูง เมื่อรวมประสบการณ์ดังกล่าวกับการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำจากต่างประเทศแล้วนับเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจให้แก่บริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2554 บริษัทมีงานรับเหมาก่อสร้างที่ยังไม่ส่งมอบมูลค่า 31,927 ล้านบาท โดยเป็นของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 43% (รวม 2 สัญญา) และสายสีม่วง 19% ทั้งนี้ มูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นมากหากบริษัทสามารถลงนามในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีในประเทศลาวมูลค่าประมาณ 76,000 ล้านบาทได้
ธุรกิจสัมปทานของบริษัทครอบคลุมโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานหลายประเภท ได้แก่ ทางด่วน รถไฟฟ้าใต้ดิน น้ำประปา และโรงไฟฟ้า โดย ณ เดือนมิถุนายน 2554 เงินลงทุนรวมในกิจการสัมปทานประกอบด้วยการถือหุ้นใน บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL) จำนวน 16.4% ใน บมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ (BMCL) 24.6% บมจ.น้ำประปาไทย(TTW) 30% บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด (SEAN) 17.7% บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) 50% และ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (CKPL) 49% โดยในเดือนกันยายน 2554 บริษัทได้ลดสัดส่วนเงินลงทุนใน CKPL เหลือ 38%
บริษัทได้รับเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอประมาณปีละ 500-600 ล้านบาทจากการลงทุนใน BECL และ TTW ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากลักษณะที่ผันผวนของรายได้จากธุรกิจก่อสร้างได้ในระดับหนึ่ง ส่วนโครงการเขื่อนน้ำงึม 2 ในประเทศลาวซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ SEAN นั้นเริ่มสร้างรายได้ในปี 2554 ในขณะที่ BMCL ซึ่งยังมีผลประกอบการที่ขาดทุนและต้องการความช่วยเหลือทางการเงินจากผู้ถือหุ้นนั้นถือเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท
สถานะทางการเงินของบริษัทยังคงได้รับแรงกดดันจากภาระหนี้ในระดับสูงอันเนื่องมาจากการลงทุนในกิจการสัมปทานที่ใช้เงินกู้เป็นหลัก กระแสเงินสดจ่ายสำหรับโครงการลงทุนในสัมปทานและค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนน่าจะยังเป็นข้อจำกัดของบริษัทในการพยายามลดภาระหนี้ในระยะปานกลางต่อไป ณ เดือนมิถุนายน 2554 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 2.6 เท่า โดยข้อกำหนดสิทธิระบุให้รักษาอัตราดังกล่าวที่ระดับไม่เกิน 3.0 เท่า
ผลประกอบการของบริษัทในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างยังคงต่ำกว่าประมาณการ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ -5.1% และเงินทุนจากการดำเนินงานติดลบ 714 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องของบริษัทได้รับแรงหนุนจากการถือครองหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องดีจำนวนมาก ในเดือนมิถุนายน 2554 บริษัทขายหุ้นใน SEAN จำนวน 20.3% ให้แก่ CKPL คิดเป็นมูลค่า 3.35 พันล้านบาท โดยบริษัทได้รับเงินสดจำนวน 1.7 พันล้านบาท และรับรู้ส่วนที่เหลืออีก 1.65 พันล้านบาทเป็นลูกหนี้
บริษัทวางแผนจะขายหุ้นที่เหลือใน SEAN มูลค่า 2.9 พันล้านบาทให้แก่ CKPL ภายใน 1 ปีข้างหน้า การขายเงินลงทุนดังกล่าวคาดว่าจะสร้างกระแสเงินสดจำนวนมากให้แก่บริษัทและช่วยลดแรงกดดันด้านภาระหนี้ได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งกล่าวว่า การประเมินว่ากระแสเงินสดที่ได้รับจากการขายหุ้นดังกล่าวจะมีผลในทางบวกต่ออันดับเครดิตของบริษัทเพียงใดนั้นจะต้องพิจารณาควบคู่ไปกับแผนการลงทุนของบริษัทด้วย