ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงหนักสุดในรอบกว่า 2 ปีเมื่อคืนนี้ (22 ก.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตือนว่ามีความเสี่ยงอย่างมากที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญกับช่วงขาลง นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกยังกดดันให้นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มพลังงานด้วย
ดัชนี FTSE 100 ร่วงลง 246.8 จุด หรือ 4.7% ปิดที่ 5,041.61 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลงอย่างหนัก หลังจากเฟดได้ออกแถลงการณ์ภายหลังจากประชุมครั้งล่าสุดว่า "มีความเสี่ยงอย่างมากที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญกับภาวะขาลง ซึ่งความเสี่ยงเหล่านั้นรวมถึงความผันผวนในตลาดการเงินทั่วโลก"
แถลงการณ์ดังกล่าวได้บดบังปัจจัยจากการที่เฟดประกาศใช้มาตรการ Operation Twist หรือการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 6-30 ปีวงเงิน 4 แสนล้านดอลลาร์และขายพันธบัตรอายุ 3 ปีหรือต่ำกว่าออกมาในเวลาเดียวกันและในวงเงินที่เท่ากัน โดยมีเป้าหมายที่จะฉุดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ปรับตัวลง และกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ไหลเวียนดีขึ้น
ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับปัจจัยลบจากรายงานที่ว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนในเดือนก.ย. หดตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนที่ 49.4 จุด จากเดือนส.ค.ที่ระดับ 49.9 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกได้ฉุดหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มพลังงานร่วงลง โดยหุ้นริโอทินโต ดิ่งลง 11% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน บริษัทเหมืองรายใหญ่อันดับหนึ่งของโลก ร่วงลง 8.3% หุ้นอันโตฟากัสตา บริษัทเหมืองแร่ของชิลี ร่วงลง 13% ส่วนหุ้นเอ็กสตราต้าดิ่งลง 9.6%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยหุ้นบีพีร่วงลง 5% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 3.4% หุ้นปิโตรแฟคร่วงลง 7.9%
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหลังจากหลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของแบงก์ ออฟ อเมริกา, เวลส์ ฟาร์โก แอนด์โค และซิตี้กรุ๊ป อิงค์ เนื่องจากความกังวลที่ว่ารัฐบาลสหรัฐอาจไม่ให้ความช่วยเหลือธนาคารรายใหญ่หากเกิดวิกฤตการณ์การเงิน โดยหุ้นลอยด์ แบงกิง กรุ๊ป ร่วงลง 10% และหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ (RBS) ดิ่งลง 5.7%