นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า การออกมาตรการบ้านหลังแรกของรัฐบาล ทั้งโครงการคืนเงินภาษีบ้านหลักแรก 10% ทยอยคืนใน 5 ปี สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท และสินเชื่อ 0% 3 ปี สำหรับบ้านไม่เกิน 2 ล้านบาท จะช่วยลดต้นทุนของผู้ซื้อบ้านได้รวมกว่า 19%ต่อปี โดยผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคอสังหาริทรัพย์น่าจะได้รับประโยชน์กันถ้วนหน้า และไม่น่ามีผลกระทบอื่น เพราะเป็นมาตรการของรัฐบาลที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ
อย่างไรก็ตามมองว่า มาตรการดังกล่าวมองว่าน่าจะช่วยระบายสต็อคบ้านเดิมที่ปัจจุบันมีกว่า 1 แสนยูนิต และน่าจะทำให้โครงการอสังหาริมทรัพย์หันมาออกโครงการใหม่ตามความต้องการของลูกค้าในระดับราคาบ้านไม่เกิน 2 ล้านบาท เนื่องจากกลุ่มผู้ที่ได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว น่าจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/เดือนที่มีกำลังซื้อบ้านระดับราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
ทั้งนี้มองว่ามาตรการดังกล่าวน่าจะช่วยกระตุ้นยอดสินเชื่อในไตรมาส 4/54 ไม่มากแต่น่าจะมีผลเต็มที่ในปี 55 แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกด้วย ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อบ้านของประชาชน
"มองว่าสินเชื่อบ้านหลังแรก 0% ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของแบงก์พาณิชย์มากนัก เห็นได้จาก ครึ่งปีแรก สินเชื่อแบงก์รัฐ โต 2.8% จากสิ้นปี 53 แต่สินเชื่อแบงก์พาณิชย์โต 5.4% และตลาดรวมโต 3.7% สะท้อนว่ามาตรการของรัฐมาแย่งมาร์เก็ตแชร์ของแบงก์พาณิชย์ไม่มาก" นายชาติชาย กล่าว
สำหรับปี 54 การปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของ KBANK คาดว่าจะอยู่ที่ 50,000-55,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 12-13% โดยช่วง 8 เดือนแรก ธนาคารปล่อยสินเชื่อได้แล้ว 42,000 ล้านบาท และในปี 55 คาดว่าการปล่อยสินเชื่อมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงปี 54 ที่ 12-13% คิดเป็นการปล่อยสินเชื่อที่ 50,000-60,000 ล้านบาท
ด้านนายปรีดา ดาวฉาย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส KBANK กล่าวยอมรับว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกขณะนี้ดูแย่ลงจากที่เคยประเมินไว้ในช่วงกลางปี โดยเฉพาะปัญหาในประเทศยุโรป ซึ่งกำลังลุกลามเป็นลูกโซ่ ไม่สามารถรู้ต้นตอของปัญหาได้ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม มองว่าเศรษฐกิจโลกไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยรุนแรง เนื่องจากรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภายในประเทศ รองรับผลกระทบหากการส่งออกชะลอตัว ขณะเดียวกัน การส่งออกไทยได้หันมาทำธุรกิจในเอเซียนมากขึ้น ขณะเดียวกัน มองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นต้องใช้เวลา ดังนั้นทั้งผู้ประกอบการ นักธุรกิจคงต้องมีการตั้งหลัก และปรับตัวรับสถานการณ์เช่นเดียวกับธนาคาร
สำหรับแผนธุรกิจของธนาคารในปี 55 จะพิจาณาจากนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก เพราะจะมีผลต่อการขยายตัวเศรษฐกิจของประเทศ เพราะโดยปกติ ธนาคารจะตั้งเป้าสินเชื่อเติบโตที่ 1.5 เท่าของจีดีพี
"มองว่าจีดีพีปีหน้าน่าจะโตกว่าปีนี้ เพราะรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ มีการเพิ่มรายได้ประชาชน แต่ทั้งนี้ต้อง sustainกันด้วยว่า เพิ่มรายได้แล้ว ผู้ประกอบการก็ต้องขายของได้ด้วย ก็หวังให้สิ่งที่รัฐบาลทำก่อนให้เกิดผลสำเร็จ" นายปรีดี กล่าว