นายกิตติมา สุทัศน์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส ( SECC) เปิดเผยว่า หลังศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุมัติให้ฟื้นฟูกิจการ เมื่อ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา บริษัทมีแผนฟื้นธุรกิจการนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศเข้ามาจำหน่าย ซึ่งเป็นธุรกิจเดิมที่เคยดำเนินการอยู่
พร้อมกับขยายการให้บริการหลังการขายให้กับรถยนต์นำเข้าทุกยี่ห้อและทุกรุ่นของผู้นำเข้าอิสระ เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดทีมีอัตราการเติบโตสูงในปัจจุบัน จากการที่มีผู้นำเข้าอิสระกว่า 200 ราย ในประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีการให้บริการหลังการขาย และการซ่อมบำรุง ซึ่งถือเป็นการให้บริการที่ครบวงจร และเป็นการเพิ่มช่องทางรายได้
"หลังจากที่ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งอนุมัติแผนฟื้นฟูกิจการ จากนี้ไปอีก 3 เดือนจะทำแผนฟื้นฟูนำเสนอต่อเจ้าหนี้เพื่อโหวตรับแผนเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู ถ้าเจ้าหนี้รับแผนฟื้นฟูบริษัทก็จะดำเนินการกลับมาทำธุรกิจเป็นผู้จำหน่ายรถนำเข้า และ ศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถนำเข้าทุกยี่ห้อ ซึ่งทำธุรกิจเหมือนเดิม"นายกิติมา กล่าว
นายกิตติมา คาดว่า บริษัทจะมีรายได้จากจำหน่ายรถนำเข้าเดือนละ 30 คันๆละ 3 ล้านบาท รวมประมาณ 90 ล้านบาท และรายได้จากศูนย์ซ่อมบริการประมาณ 10-12 ล้านบาท/เดือน หากทำรายได้ตามแผน บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ในปี 55 ประมาณ 1,080-1,200 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีบริษัทมีรายได้จากศูนย์ซ่อมและบริการประมาณ 8 ล้านบาท /เดือน
บริษัทตั้งเป้าปี 55 จำหน่ายรถนำเข้า จำนวน 30 คัน สำหรับ 2 สาขาเดิม และเมื่อเปิดสาขา 3 สาขาใหม่ ก็จะเพิ่มเป้าเป็น 50 คัน บริษัทมีแผนขยายสาขาในปี 55 เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถยนต์นำเข้า รวมทั้งการพิจารณาการสั่งรถยนต์นำเข้าหลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองกับความต้องการของลูกค้าที่มีความต้องการที่เพิ่มขึ้น
นายกิติมา คาดว่า บริษัทจะต้องใช้ 80 ล้านบาทในการเปิดสาขาใหม่ 3 แห่ง รวมทั้งเป็นงบการตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขาย โดยสาขาใหม่ที่จะเปิดได้แก่ มีนบุรี , พุทธมณฑล เป็นต้น แหล่งเงินอยู่ระหว่างเจรจากับสถาบันการเงินในประเทศ 1 ราย ซึ่งจะให้สินเชื่อ และเจรจากับบริษัทผู้ส่งออกรถยนต์ในญี่ปุ่น 1 ราย ซึ่งมี บง.สินอุตสาหกรรม (SICCO) เป็นที่ปรึกษา
สำหรับมูลหนี้ที่กรมบังคับคดีที่บริษัทต้องจ่ายมีจำนวน 700 กว่าล้านบาท ซึ่งตามแผนจะจ่ายชำระได้หมดภายใน 2 ปี โดยเจ้าหนี้นายใหญ่ คือ ธ.ทหารไทย (TMB) มูลหนี้ 200 ล้านบาท
นายกิติมา มองว่า ตลาดรถยนต์นำเข้าเป็นตลาดขาขึ้นและการเติบโตดีมาก จากการซื้อขายมีความรัดกุมมากขึ้น และมีมาตรฐานการการซื้อขายในตลาดรถยนต์นำเข้าอิสระดีขึ้น จึงเห็นว่าบริษัทเข้ามาได้จังหวะดี แผนการตลาดแรกที่จะดำเนินการ คือจะทำ research brand health ว่าตลาดพร้อมรับยี่ห้อรถเดิมที่บริษัทเคยขายหรือไม่ หรืออาจจะ Refresh ชื่อบริษัท หรืออาจเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่
ล่าสุด บริษัทได้เปิดแคมเปญในการให้บริการคือ ศูนย์บริการทางเลือก เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้บริการ เลือกใช้อะไหล่ตามต้องการ ซึ่งเป็นของแท้ที่ส่งตรงมายังต่างประเทศ รวมทั้งการตรวจเช็คระยะทาง โดยจะรองรับทั้งรถยนต์รุ่นเก่าและใหม่
ทั้งนี้ คณะกรรมการได้เปลี่ยนใหม่ทั้งชุดที่ผู้ถือหุ้นโหวตเข้ามา 5 คน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการชุดเดิม และ คณะกรรมการชุดใหม่ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบภายใน คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง เพื่อป้องกันเหตุการณ์เดิมที่เกิดขึ้น
"กรรมการชุดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกรรมการชุดเก่า ไม่ต้องห่วงเรื่องไซฟ่อน"นายกิติมา กล่าว