ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (3 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มธนาคาร อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากความกังวลที่ว่ากรีซอาจจะผิดนัดชำระหนี้
ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวลง 52.98 จุด หรือ 1% ปิดที่ 5,075.5 จุด
ตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลงติดต่อกัน 4 วันทำการ เนื่องจากความกังวลเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซและการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ได้กดดันให้นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มเหมืองแร่
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารในตลาดหุ้นลอนดอนดิ่งลง 2.8% หุ้นธนาคารแบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ (RBS) ร่วงลง 4.4% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ร่วงลง 4.5% และหุ้นธนาคารบาร์เคลย์สร่วงลง 3.2%
ส่วนหุ้นในกลุ่มเหมืองแร่นั้น หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ร่วงลง 1.6% และหุ้นริโอทินโต ดิ่งลง 2.4% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้กรีซได้ฉุดราคาโลหะทองแดงในตลาดลอนดอนดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2553 อย่างไรก็ดี หุ้นแรนด์โกลด์ รีซอสเซส ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองทองคำ พุ่งขึ้น 3.7% ตามราคาทองคำในตลาดโลก
หุ้นเอวิวา ซึ่งเป็นบริษัทประกันรายใหญ่อันดับ 2 ของอังกฤษ ร่วงลง 5.5% หลังจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์สรายงานว่า เอวิวาอาจจะลดการถือครองหุ้นในบริษัทเฟิร์สท์ ไฟแนนเชียล โฮลดิงส์ ลงสู่ระดับ 10% จากเดิมที่ถืออยู่ 49%
ทั้งนี้ แม้ดัชนี FTSE 100 ปิดลบ แต่ตลาดสามารถไต่ขึ้นจากระดับต่ำสุดในระหว่างวันได้ หลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ย.ขยายตัวที่ระดับ 51.6 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนส.ค.ที่ระดับ 50.6 จุด และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 50.5 จุด ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของภาคการผลิตสหรัฐ
นักลงทุนจับตาดูการประชุมรมว.คลังกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) ที่เมืองลักเซมเบิร์กในวันนี้ โดยที่ประชุมจะหารือเรื่องการปกป้องภาคธนาคารไม่ให้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตหนี้สาธารณะ และอาจจะหารือกันเรื่องการเพิ่มขนาดกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF)