SIRI ปรับแนวราบเข้าเกณฑ์บ้านหลังแรกอีก 1 พันยูนิต คาดยอดขายโต 25-30%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 4, 2011 17:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเมธา อังวัฒนพานิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะปรับโครงการบ้านแนวราบในแบรนด์เศรษฐสิริ บางส่วน รวมทั้งแบรนด์ สราญสิริ และ ฮาบิเทีย ลงมาเพื่อรองรับกับโครงการมาตรการบ้านหลังแรกของภาครัฐที่กำหนดราคาบ้านไม่เกิน 5 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีสินค้าในสต็อกและอยู่ระหว่างก่อสร้างเพิ่มอีกประมาณ 1 พันยูนิตที่จะได้รับสิทธิตามมาตรการบ้านหลังแรก

ก่อนหน้านี้ บริษัทแจ้งว่า กลุ่ม SIRI มีจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยที่สามารถรองรับมาตรการบ้านหลังแรกของรัฐบาลเป็นจำนวน 8,300 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นจำนวนที่อยู่อาศัยที่จะโอนภายในปี 55 จำนวน 3,500 ยูนิต มูลค่า 8,000 ล้านบาท และที่อยู่อาศัยใหม่สำหรับการขายภายใต้ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท จำนวน 4,800 ยูนิต มูลค่า 12,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.5 ล้านบาท

นายเมธา คาดว่า ยอดขายโครงการแนวราบในปีนี้อยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท เติบโต 25-30% จากปีก่อน และถือเป็นการปรับยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ตั้งเป้ายอดขาย 1.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากยอดขายในช่วง 9 เดือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการเปิดโครงการใหม่ที่ได้รับการตอบรับทั้งราคาและทำเลขณะที่ยอดโอนแนวราบในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 1.25 หมื่นล้านบาท

"ปีนี้ยอดขายเรามาค่อนข้างดี 9 เดือนของปีนี้ขายได้มากกว่าปีก่อนทั้งปี ตอนนี้ผู้บริโภค มีแนวคิดที่เปลี่ยนไปหันมาซื้อสินค้าที่เป็นที่รู้จัก น่าเชื่อถือ และให้ความสำคัญเรื่องการให้บริการ"นายเมธา กล่าว

ทั้งนี้ เห็นได้จากโครงการเศรษฐสิริ ราชพฤกษ์-จรัลสนิทวงศ์ เปิดขายในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา มียอดขายแล้ว 130 ยูนิตจากทั้งหมด 234 ยูนิตในเฟสแรก มูลค่า 2.5 พันล้านบาท

ในไตรมาส 4/54 จะเปิดโครงการแนวราบใหม่อีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 3 พันล้านบาท ได้แก่ นราสิริ โยธินพัฒนา และ เศรษฐสิริ วัชรพล เพื่อกระตุ้นความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากมาตรการบ้านหลังแรกที่สนับสนุนและเศรษฐกิจโดยรวมที่ดี ส่งผลให้กำลังซื้อดีขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการแนวราบในต่างจังหวัด ซึ่งขณะนี้ได้ศึกษาโครงการ 2-3 แห่ง ยกเว้น จ.ภูเก็ต ที่จะเปิดโครงการแรกเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ดีคอนโด มูลค่า 560 ล้านบาท ในเดือน ต.ค.นี้

นายเมธา คาดว่า ในปีหน้าจะเห็นการทยอยปรับขึ้นราคาบ้านกว่า 4% เนื่องจากต้นุทนค่าวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น และการปรับขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาท อย่างไรก็ดี จากที่บริษัทได้ขยายกำลังการผลิตโรงงานพรีคาสท์(ผนังสำเร็จรูป) ทำให้สามารถสร้างบ้านได้มากขึ้นจาก 60-70 หลังต่อเดือน เป็น 120-150 หลังต่อเดือน

บริษัทยังทยอยซื้อที่ดินในปีนี้เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในปีหน้า วงเงิน 5 - 6 พันล้านบาท โดยเบื้องต้นจะพัฒนาเป็นโครงการแนวราบ 20 โครงการ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ