ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (6 ต.ค.) หลังจากธนาคารกลางอังกฤษประกาศเพิ่มขนาดการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และจากความคาดหวังที่ว่ากลุ่มผู้นำยุโรปจะเร่งใช้มาตรการเพิ่มทุนให้กับธนาคารในยุโรปที่ประสบปัญหาด้านการเงิน
ดัชนี FTSE 100 พุ่งขึ้น 189.9 จุด หรือ 3.7% ปิดที่ 5,291.26 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเป็นไปอย่างคึกคักหลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมประกาศขยายมาตรการ QE อีก 7.5 หมื่นล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2552 ที่แบงก์ชาติอังกฤษประกาศขยายมาตรการ QE หลังจากที่ธนาคารได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไปแล้ว 2 แสนล้านปอนด์ ด้วยการซื้อสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล เพื่อที่จะกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกหลังจากนายโฮเซ มานุเอล บาร์โรโซ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ส่งสัญญาณในด้านบวกว่า อีซีได้เสนอให้ผู้นำยุโรปร่วมมือกันอย่างจริงจังมากขึ้นในการเพิ่มทุนให้กับธนาคารที่ประสบปัญหาด้านการเงิน
หุ้นเอสเอบีมิลเลอร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ระดับโลก พุ่งขึ้น 7% หลังจากมีรายงานว่าเอบี อินเบฟ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่อีกแห่งหนึ่งนั้น กำลังเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการเอสเอบีมิลเลอร์
หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นหลังจากนางแองเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เรียกร้องให้สมาชิกยูโรโซนเร่งสนับสนุนมาตรการเพิ่มทุนให้กับธนาคารที่ประสบปัญหาด้านการเงิน เพื่อหนุนภาคธนาคารในยูโรโซนให้แข็งแกร่งขึ้น โดยหุ้นธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่งขึ้น 8.8% หุ้นธนาคารบาร์เคลย์สพุ่งขึ้น 8%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่พุ่งขึ้นตามราคาโลหะในตลาดลอนดอน โดยหุ้นริโอทินโตพุ่งขึ้น 7.6% หุ้นอีเอ็นอาร์ซีดีดตัวขึ้น 9.7% หุ้นคาซัคมิสพุ่งขึ้น 8.3%
ส่วนหุ้นอีซีเจ็ทพุ่งขึ้น 4.6% หลังจากบริษัทประกาศว่าจะเปิดสำนักงานใหม่อีก 2 แห่งในฝรั่งเศสในปีหน้า โดยมีเป้าหมายที่จะแข่งขันกับสายการบินระดับชาติอย่างแอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม