นายนิพิฐ อรุณวงษ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บมจ.นวนคร(NNCL)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทเชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมหนักในขณะนี้ แม้ว่า จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทจำนวนกว่า 6,500 ไร่ เนื่องจากบริษัทมีแผนป้องกันอย่างดี โดยเฉพาะแผนระยะยาวที่มีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ มีระบบคูคลองภายในไว้รองรับ พร้อมกับการขยายพื้นที่ทุกปี และร่วมมือกับท้องถิ่นรอบๆ รวมทั้งกรมชลประทานในการดูแลคูคลองระบบน้ำโดยรอบ เพื่อป้องกันอุทกภัย
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตามประกาศของทางการ ก็มีความกังวลในช่วงประมาณวันที่ 15-17 ต.ค.น้ำเหนือที่จะไหลลงมาบวกกันน้ำทะเลหนุนสูง หากมีกรณีเลวร้ายสุดก็คงจะเปิดในช่วงนั้น แต่เราก็ได้เตรียมการป้องกันไว้ 100% มีเจ้าหน้าที่ประจำเวรยามรอบเขื่อน 24 ชั่วโมงและประสานกับทางองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)เพื่อเตรียมกระสอบทรายไว้เสริมคันกันน้ำโดยรอบไว้พร้อมแล้ว
ส่วนพื้นที่นิคมฯอีกแห่งที่โคราชพื้นที่ 2,000 ไร่ ตอนนี้ก็ยังไม่มีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำท่วมแต่อย่างใด แม้ว่าในปี 53 จะเคยเกิดน้ำท่วมขังจากเขื่อนลำพระเพลิงพอ แต่ปีนี้บริษัทก็สร้างกำแพงกั้นน้ำขึ้นมาสูง 3 เมตร
นายนิพิฐ กล่าวอีกว่า ยอดขายที่ดินช่วงนี้ยังไปได้ดีมาก มีลูกค้าเข้ามาเจรจาอย่างต่อเนื่อง เมื่อต้นสัปดาห์ได้เซ็นสัญญาขายที่ดินให้กับลูกค้ารายใหม่จากญี่ปุ่นอีก 1 ราย จำนวน 50 กว่าไร่ เป็นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อลูกค้าเห็นสถานการณ์น้ำท่วมและนิคมอุตสาหกรรมของบริษัททุกแห่งไม่ได้รับผลกระทบ จึงตัดสินใจมาเซ็นสัญญากับบริษัท โดยจะรับรู้รายได้ทั้งหมดในไตรมาส 2/55
บริษัทคาดว่าในปีนี้ทั้งรายได้และกำไรจะยังเป็นไปตามเป้าหมายที่จะเติบโตไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,113.95 ล้านบาท แต่ปี 55 อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล แต่เท่าที่คุยกับลูกค้าที่มาเจรจา เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะดีกว่าปีนี้หากไม่มีเหตุเลวร้าย โดยลูกค้าที่เข้ามาพูดคุยส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนในประเทศจะเป็นพวกอาหารและยา
"เป้าปีหน้าขอดูสิ้นปีนี้ก่อนค่อยเห็นภาพได้ อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล แต่ปีนี้รายได้รวมน่าจะโตกว่าปี 53 เกิน 20% ขณะที่กำไรก็น่าจะโตตามรายได้"นายนิพิฐ กล่าว
แนวโน้มสถานการณ์ 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ยังไม่น่าจะกังวลมาก แต่ที่วิตกก็จะเป็นเรื่องน้ำท่วม ซึ่งบริษัทก็ป้องกันเต็มที่ แต่ก็ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้รับผลเอฟเฟกค์อย่างอื่นหรือเปล่า ส่วนสถานการณ์ยุโรปไม่ค่อยมีผลกระทบต่อบริษัทมากนัก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงค์โปร์ และไทย แต่อาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับประเทศประเทศมากกว่า ในแง่ของนักลงทุนต่างชาติ