นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า ในปี 55 ถือเป็นโอกาสที่ภาคธุรกิจไทย จะเข้าไปลงทุนซื้อกิจการ หรือสินทรัพย์ราคาถูกในยุโรป เหมือนช่วงปี 40 ที่ไทยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจและนักลงทุนต่างชาติได้เข้ามาซื้อสินทรัพย์ราคาถูกในไทย เนื่องจากมองว่าในปีหน้าเศรษฐกิจยุโรปจะมีการขยายตัวเพียง 1.1% และจะมีมาตรการรัดเข็มขัด ซึ่งจะกระทบกำลังซื้อประชาชน ภาคธุรกิจก็จะมีการปลดคนงาน ขายกิจการทิ้ง
ทั้งนี้ ตั้งแต่ครึ่งหลังปี 55 มองว่าราคาทรัพย์สินในยุโรปจะลดลงพอสมควร ซึ่งเป็นโอกาสดี แต่นักลงทุนไทยที่จะเข้าไปซื้อกิจการในยุโรปจะต้องมีความพร้อม มีความชำนาญในธุรกิจ ไม่ใช่เข้าไปซื้อเพื่อเก็งกำไร ธนาคารพร้อมเป็นที่ปรึกษาและให้การสนับสนุนทางการเงิน
"ธุรกิจยุโรปที่น่าสนใจ มองว่าเป็นธุรกิจอาหาร เพราะอย่างไรคนก็ยังต้องกิน และเป็นธุรกิจที่ไทยมีความชำนาญ แต่จะเป็นธุรกิจที่โตไม่หวือหวา"นายวิชิต กล่าว
นอกจากนี้ มองว่าหลังยุโรปประสบปัญหาหนี้สิน ทำให้ภาคเอกชนไทยระดมเงินจากต่างประเทศทำได้ยากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารต่างๆในยุโรป มีการปล่อยสินเชื่อให้ประเทศตลาดเกิดใหม่จำนวนมาก แต่หลังเกิดวิกฤติ ประเทศเกิดใหม่ที่อาศัยเงินกู้จากยุโรปมีน้อยลง ดังนั้นนักธุรกิจไทที่จะลงทุนต่างประเทศต้องพิจารณาอ่างรอบคอบ เพราะการระดมเงินต่างประเทศทำได้ไม่ง่ายแล้ว และมีต้นทุนที่สูงขึ้น ดังนั้น ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนมาเป็นกู้สกุลดอลลาร์ และ swap เป็นเงินบาท แต่ก็มีกรอบวงเงินกู้ที่จำกัดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้น จึงอาจเห็นสถาบันการเงินมีการให้เงินกู้ในลักษณะ syndicate loan
สำหรับประชาคมอาเซียน (AEC) ซึ่งทำให้เปิดเสรีทางการเงินที่อาจทำให้ธนาคารต่างประเทศเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้นนั้น นายวิชิต มองว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไทยมีความแข็งแกร่งมาก ขณะที่ SCB มองโอกาสจะเข้าไปขยายธุกิจในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เช่น พม่า เนื่องจากธนาคารในพม่ายังไม่แข็งแกร่ง แต่ก็เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงทางการเมือง ดังนั้น การขยายธุรกิจต้องค่อยเป็นค่อยไป โดยอาจเริ่มจากการเปิดเป็นสำนักงานตัวแทน