ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดตลาดต่ำลงในวันศุกร์ (7 ต.ค.) โดยดาวโจนส์ร่วงลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 วันการซื้อขาย ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับวิกฤติหนี้ยุโรป
ดาวโจนส์ซึ่งพุ่งขึ้น 183.38 จุดเมื่อวันพฤหัสบดี ปรับตัวลง 20.21 จุด หรือ 0.18% มาปิดที่ 11,103.12 จุด ดัชนี Nasdaq ซึ่งเดินหน้าขึ้น 46.31 จุดในวันพฤหัสบดี ร่วงลง 27.47 จุด หรือ 1.10% มาที่ 2,479.35 จุด ดัชนี S&P 500 ลบ 9.51 จุด หรือ 0.8% มาปิดที่ 1,155.46 จุด
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า นักวิเคราะห์ตลาดกล่าวว่า ดาวโจนส์ได้รับแรงซื้อในการซื้อขายช่วงแรกจากการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สูงเกินคาดของสหรัฐในเดือนก.ย.
นักวิเคราะห์กล่าวว่า หลังการแกว่งตัวขึ้นและลงในช่วงต่อมา ตลาดหุ้นปิดต่ำลงหลังจากที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีและสเปน
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง เนื่องจากการปรับลดอันดับเครดิตดังกล่าว ทำให้เกิดความวิตกครั้งใหม่เกี่ยวกับวิกฤติหนี้และผลกระทบที่อาจจะมีต่อธนาคาร โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป ดิ่งลง 6% ซึ่งรุนแรงที่สุดในดาวโจนส์ หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ดิ่งลง 5.2%
หุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มปรับตัวได้ดีแม้แต่ในช่วงขาลงของเศรษฐกิจ ปรับตัวได้ดีที่สุด โดยหุ้นวอล-มาร์ท สโตร์ส อิงค์ นำดาวโจนส์ด้วยการบวกขึ้น 1.8% หุ้นไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตยา บวก 1.2%
รายงานการว่างงานของกระทรวงแรงงานที่ได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิดแสดงสัญญาณที่ไร้ทิศทางชัดเจนสำหรับนักลงทุน โดยนายจ้างงานสหรัฐเพิ่มการจ้างงาน 103,000 ตำแหน่งเดือนที่แล้ว หรือราว 2 เท่าของที่นักเศรษฐศาสตร์ได้คาดไว้ แต่ก็แทบไม่มีสัญญาณว่าสหรัฐจะกลับมามีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งอีกครั้งในเร็วๆนี้ เนื่องจากอัตราว่างงานของสหรัฐยังคงทรงตัวที่ 9.1% เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน