EARTH เล็งขอย้ายเข้าเทรดใน SET หลังกองทุนต่างชาติ 3-4 รายสนใจเข้าลงทุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 12, 2011 16:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายขจรพงศ์ คำดี กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ(EARTH) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทฯจะพิจารณากระบวนการขอย้ายเข้าทะเบียนในตลาดหุ้น SET จากตลาดหุ้น mai หลังจากผลประกอบการครบ 1 ปีถึงเกณฑ์หรือไม่ พร้อมทั้งพิจารณาข้อดี-ข้อเสียด้วย เนื่องจากขณะนี้กองทุนต่างชาติ 3-4 แห่งสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในบริษัท แต่การเทรดในตลาดหุ้น mai ทำให้บริษัทไม่น่าสนใจเท่าที่ควร

"พอมีกองทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในบริษัทฯ เขาก็ต้องการจะให้เราเข้าไปอยู่ใน SET Index ซึ่งก็ยอมรับว่าตอนนี้มีกองทุนต่างชาติสนใจจะเข้าลงทุน ติดต่อผ่านโบรกเกอร์มามี 3-4 ราย เป็นกองทุนจากฝั่งทางยุโรป เพียงแต่เขาแจ้งมาว่าเขาจะถือลงทุนอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป แต่เรายังไม่ได้เปิดดีลคุยกันจริงจัง เราเพียงแต่บอกเขาว่าตอนนี้ยังไม่ได้มีหุ้นอะไรให้เขา ถ้าอยากได้ก็ต้องไปซื้อในตลาดฯ"นายขจรพงศ์ กล่าว

"กองทุนตอนนี้เขาเข้ามาดู ก็ไม่เจอว่าเราสังกัดอยู่ในกลุ่มพลังงาน เขาว่าเขาเข้ามาดูในกลุ่มพลังงานแล้วทำไมไม่เจอเรา พอเราบอกไปว่าต้องไปดูที่ตลาดเอ็ม เอ ไอ เขาก็ยังไม่ค่อยเคลียร์เท่าไร"นายขจรพงศ์ กล่าว

*น้ำท่วมอยุธยาแค่กระทบโรงงานใหม่ที่บางประหันล่าช้า-ยังส่งสินค้าได้ตามปกติ

ส่วนเหตุการณ์น้ำท่วมหนักครั้งนี้ บริษัทฯยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แม้ว่าที่บางปะหันซึ่งยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานจะมีน้ำท่วมบ้าง แต่ก็เพียงอาจจะทำให้การก่อสร้างล่าช้าออกไปเท่านั้น เพราะอยู่ในช่วงของการถมที่และลงฐานรากอยู่ หลังน้ำลดก็อาจต้องมีการปรับพื้นที่ใหม่เท่านั้น

"เราที่บางปะหันก็มีน้ำท่วมอยู่บ้าง แต่ที่ตรงนี้ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงาน ผลกระทบจึงไม่มากเพราะยังไม่ได้มีสินค้าเข้าไป ตอนนี้สินค้าของบริษัทฯก็มีอยุ่ที่ศรีราชาก็เลยมีการส่งสินค้าจากที่ศรีราชานำออกไปส่งให้ลูกค้าแทน ส่วนที่อยุธยาก็ใช้วิธีเช่าพื้นที่คลังสินค้าที่ท่าเรือ กรณีที่ส่งสินค้าให้กับลูกค้าภาคกลาง บริษัทฯได้ทำประกันไว้ที่ศรีราชาและที่นครหลวง เราประกันถึงท่าเรือ ตรงที่นครหลวงประเมินความเสียหายมันไม่เกิด

ส่วนที่บางประหันยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง จึงยังไม่ได้ทำประกันไว้ เพียงแต่การก่อสร้างโรงงานก็ล่าช้าออกไป เพราะเจอภาวะน้ำท่วม ซึ่งที่บางประหันอยู่ในช่วงของการถมที่และทำฐานราก ความเสียหายก็ยังไม่เกิด ก็แค่ดินสไลด์ ก็คงจะต้องมีการปรับใหม่เท่านั้นเอง แต่จะทำให้ความล่าช้ายืดออกไป แต่ออเดอร์ที่บริษัทฯรับมา เราก็ใช้วิธีเช่าพื้นที่ที่ท่าเรือในการส่งสินค้าชั่วคราว"นายขจรพงศ์ กล่าว

นายขจรพงศ์ กล่าวต่อว่า ลูกค้าของบริษัทตอนนี้เป็นกลุ่มปูนรายใหญ่ที่บริษัทยังส่งสินค้าให้อยู่ เพราะลูกค้ายังดำเนินธุรกิจได้ปกติ เนื่องจากมีการเตรียมป้องกันไว้เป็นอย่างดี และกลุ่มปูนก็อยู่ที่สูงอยู่แล้ว ขณะที่รายของสยามกลาส บริษัทก็ส่งสินค้าไปให้ที่ จ.กาญจนบุรี

*คาดรู้ผลซื้อเหมืองถ่านหินในอินโดฯแห่งที่ 2 ในปีหน้า-เดินหน้าขยายตลาดส่งออก

กรรมการผู้จัดการ EARTH กล่าวว่า สำหรับการเจรจาซื้อเหมืองถ่านหินแห่งที่ 2 ในอินโดนีเซีย ก็อยู่ในขั้นตอนของการส่งเจ้าหน้าที่ไปศึกษาขั้นตอนเรื่องของคุณภาพ ข้อกฎหมาย ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุงบลงทุนในการซื้อเหมือง เพราะต้องรอดูผลการศึกษาทุกขั้นตอนก่อน รวมทั้งปริมาณสำรองถ่านหินของเหมืองดังกล่าว คาดว่าจะสรุปได้ในปี 55

ขณะเดียวกันบริษัทเดินหน้าขยายตลาดส่งออกในต่างประเทศ โดยล่าสุดเจรจาการขายถ่านหินให้กับลูกค้ารายใหม่ในประเทศอินเดียย เพื่อตกลงเงื่อนไขในการทำข้อตกลง MOU แต่ยังไม่ได้มีการเซ็นสัญญากัน ซึ่งความต้องการถ่านหินของอินเดียมีค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่บริษัทเข้าไปเจรจาด้วยเป็นธุรกิจขนาดใหญ่คลายกับกลุ่มปูนซิเมนต์ในประเทศไทย โดยมีทั้งธุรกิจโรงไฟฟ้า โรงงานผลิตกระดาษ และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของอินเดียด้วย

"ในส่วนของโรงกระดาษของเขาจะใช้ถ่านหินประมาณปีละ 1 ล้านตัน แต่เดี๋ยวจะมีในเครือปูน ซึ่งเรายังไม่ได้เข้าไปคุย ตอนนี้เราคุยเฉพาะกลุ่ม Power plant (โรงไฟฟ้า)อย่างเดียว ซึ่ง Power plant นี้โครงการของเขาจะแล้วเสร็จในปี 13 และหลังจากปี 13(2556)เขาก็จะใช้ปีละ 4 ล้านตัน เขาต้องการันตีว่า เมื่อโรงไฟฟ้าของเขา run แล้ว เราสามารถส่งถ่านหินให้เขาได้อย่างต่อเนื่อง"นายขจรพงษ์ กล่าว

ส่วนการส่งถ่านหินให้กับโรงงานผลิตกระดาษกับโรงปูนซิเมนต์ ยังไม่ได้ตกลงในเงื่อนไขเหมือนกับการส่งถ่านหินให้กับโรงไฟฟ้า แม้ว่าทางโรงงานกระดาษและปูนซิเมนต์ก็สนใจที่จะให้บริษัทส่งถ่านหินให้ แต่ขณะนี้ออเดอร์ของเรายังเต็มมืออยู่

นายขจรพงษ์ กล่าวว่า หากการเจรจาลูกค้าอินเดียสำเร็จก็จะกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทในปี 56 ขณะที่บริษัทก็ยังเดินหน้าขยายลูกค้าในจีนเพิ่มจำนวนรายมากขึ้น และก้าวต่อไปก็จะขยายตลาดไปยังเกาหลี ตอนนี้ได้เตรียมการหมดแล้ว แต่ยังไม่ได้เริ่มการเจรจา

"อย่างจีนตอนนี้เรามีลูกค้าอยู่ 4-5 รายแล้ว เป็นโรงไฟฟ้า ซึ่งกลุ่มลูกค้าจีนของผมจะเป็นกลุ่มหัวเตียน จงเตียน ผมส่งไปที่หยางโจว จู่ไห่ ผมส่งหมด ยอดขายของลูกค้าจีนก็ประมาณ 70% ของยอดขายรวม เพราะเราขายต่างประเทศ 70% ก็ส่งเข้าไปที่จีนหมดเลย ประมาณปี 13 ก็จะเริ่มที่อินเดีย ถ้ากำลังการผลิตของเราเหลือก็อาจจะส่งไปที่อินเดียได้เลยก่อนปี 13"กรรมการผู้จัดการ EARTH กล่าว

*รับจ่ายปันผลงวดปี 54 ไม่ได้แม้ยอดขายทะลุเป้า เหตุยังมีขาดทุนสะสม-ส่วนต่ำมูลค่าหุ้น

นายขจรพงศ์ มั่นใจว่า ยอดขายถ่านหินปีนี้จะทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.2 ล้านตัน เพราะช่วงครึ่งปีแรกก็ทำยอดขายได้แล้ว 8 แสนตัน และขณะนี้บริษัทเร่งส่งมอบถ่านหินให้ทันในปีนี้ตามที่ทำสัญญาไว้กับลูกค้า ทำให้ยอดขายของบริษัทฯเพิ่มขึ้นอย่างตอ่เนื่อง

สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/54 มีอยู่ 16% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/54 ที่มี 15% ส่วนยอดขายปีที่แล้ว(2553)ทำได้ 1,800 ล้านบาท โดยแค่ครึ่งแรกปีนี้(H1/54)บริษัทฯก็ทำยอดขายได้เกินกว่าปีที่แล้วทั้งปีแล้ว โดยทำได้ 1,900 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิครึ่งแรกปีนี้(H1/54)ก็ทำได้แล้ว 155 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว(2553)ทั้งปีที่ทำกำไรสุทธิได้ 70 ล้านบาท ดังนั้นในครึ่งปีหลังก็คงจะทำได้ดีอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม บริษัทยอมรับว่าคงยังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการงวดปี 54 ได้ เนื่องจากติดเงื่อนไขหลังจากทำ Backdoor Listing กับบมจ.แอ็ดว้านซ์เพ้นท์ แอนด์ เคมิเคิล (ไทยแลนด์)(APC) คือบริษัทฯยังมีขาดทุนสะสมค้างอยู่ประมาณ 240 ล้านบาท ขณะนี้บริษัทฯทำกำไรในช่วงครึ่งปีแรกไปได้ 155 ล้านบาทหักกันแล้วก็ยังเหลืออีกประมาณ 85 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังมีส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้น โดยที่บริษัทฯเข้าไป Backdoor Listing มีส่วนต่ำมูลค่าอยู่ประมาณ 0.90 บาทต่อหุ้น จำนวน 2 พันหุ้น หรือประมาณ 1,800 ล้านบาท

ทั้งนี้ นโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯก็คงจะใช้ของ APC เดิม ที่กำหนดว่าหลังจากหักสำรองฯทั้งหมดแล้วก็จะจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ

"หลัง Backdoor เราก็นำหุ้นเข้ามาเทรดในตลาดฯ แล้ว และมีฟรีโฟลทที่มากพอสมควร และวอลุ่มเทรดก็อยู่ในเกณฑ์ที่ซื้อง่ายขายคล่อง และราคาหุ้นก็ไม่ได้แพงมากนัก และมี activity อะไรเราก็แจ้งให้ทราบ แผนธุรกิจเราชัดเจนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ผมมองดูเรื่องให้ครบ 4 ไตรมาสก่อน แล้วมาดู P/E จึงจะสะท้อนผลประกอบการที่แท้จริงของธุรกิจเรา ขณะนี้ P/E ของเราถูกหารด้วย 4 ไตรมาส ซึ่งเราทำธุรกิจ 2 ไตรมาส และหารด้วยผลขาดทุนของ APC เดิมอีก 2 ไตรมาส มันเลยทำให้ P/E เราสูง ดังนั้นพอสิ้นปีนี้ก็จะเป็นการมองผลประกอบการของบริษัทจริง ๆ แล้ว ซึ่งก็จะดูได้ว่าราคาหุ้นเหมาะสมกับพื้นฐานบริษัทฯไหม ตอนนี้ก็เลยยังตอบได้ยาก"นายขจรพงศ์ กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ