โบรกฯส่วนใหญ่เห็นพ้อง"ซื้อ"หุ้น บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย(SCC)เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในประเทศ ธุรกิจยังมีความมั่นคงหลากหลายไม่ว่าจะเป็นวัสดุก่อสร้าง ปูนซิเมนต์ และ ปิโตรเคมี อีกทั้งยังจะได้รับประโยชน์หลังเหตุการณ์น้ำท่วมผ่านไปแล้ว ขณะที่ได้แรงกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐในการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าและระบบชลประทานจะสนับสนุนให้ยอดขายสูงขึ้น
ธุรกิจปิโตรเคมีระยะยาวก็ยังไปได้ดี เริ่มเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่ปี 55 เป็นต้นไป และปี 56-58 จะเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้น คาดว่ายอดขายและ Spread เริ่มฟื้นตัวขึ้นในปลายปี 55 แต่ช่วงสั้นอาจรับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ขณะที่การซื้อกิจการ PT Chandra Asri Petrochemical Tbk(CAP)และกำลังจะซื้อกิจการ Sulfindo ในประเทศอินโดนีเซียช่วยหนุนความแข็งแกร่ง
ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกชะลออาจเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อกิจการราคาไม่แพง และสามารถสร้าง value ในอนาคต ปัจจุบัน SCC มีเงินสดในมือสูงถึง 1,400 ล้านเหรียญฯ หรือคิดเป็น 58,000-60,000 ล้านบาทสามารถลงทุนซื้อกิจการต่อได้ถึง 5 ปีข้างหน้าเป็นตัวเร่งการเติบโตให้เร็วขึ้น และยังหนุนฐานธุรกิจให้แข็งแกร่ง เพราะ SCC มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในอาเซียน
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้(2554)ไว้ที่ 32,000-36,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 53 ที่มีกำไรสุทธิ 37,382 ล้านบาท เนื่องจากปี 53 บริษัทฯมีรายการพิเศษจากขาย PTTCH ในไตรมาส 4/53 แล้วมีกำไร 9,600 ล้านบาท แต่ถ้าไม่รวมรายการพิเศษ ก็จะมีกำไร 24,000 ล้านบาท ส่วนปีหน้า(55)คาดว่า SCC จะมีกำไรสุทธิ 34,000-41,000 ล้านบาท
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.ไทยพาณิชย์ ซื้อ 460 บล.เอเชียพลัส ซื้อ 454 บล.ทรีนีตี้ ซื้อ 450(กำลังปรับลด) บล.เคที ซีมิโก้ ซื้อ 437 บล.พัฒนสิน ซื้อ 432 บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ซื้อ 420(กำลังปรับลด) บล.ยูไนเต็ด ซื้อ 385 บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ซื้อ 355 บล.ธนชาต ถือ 350
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) แนะนำ"ซื้อ"หุ้น SCC ขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนประมาณการ เนื่องจากจะมีการนำเรื่อง tax benefit และ Spread ปิโตรเคมี เข้ามาพิจารณาอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ธุรกิจของ SCC ยังมีความมั่นคงในหลากหลายธุรกิจไม่ว่าจะเป็นวัสดุก่อสร้าง ปูนซิเมนต์ ซึ่งก็จะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจในประเทศที่ดีขึ้น และภายหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมแล้วเชื่อว่ายอดขายก็จะดีขึ้นด้วย
ด้านธุรกิจปิโตรเคมีระยะยาวก็ยังไปได้ดี แม้ช่วงสั้นอาจรับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวไปบ้าง แต่ธุรกิจปิโตรเคมียังมี value ที่พอจะพึ่งได้ จากการที่ได้ซื้อกิจการ PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP)และขณะนี้ก็กำลังที่จะซื้อกิจการ Sulfindo ในประเทศอินโดนีเซียอีก การที่เศรษฐกิจโลกชะลอก็อาจจะเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อกิจการในราคาที่ไม่แพง และสามารถสร้าง value ได้ในอนาคต เพราะตอนนี้ SCC ก็มีเงินสดในมือสูงถึง 1,400 ล้านเหรียญฯ
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ที่ 36,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 53 ที่มีกำไรสุทธิ 37,000 ล้านบาท เนื่องจากปีที่แล้วSCC มีรายการพิเศษเข้ามา หากไม่รวมรายการพิเศษก็จะมีกำไร 24,000 ล้านบาท ส่วนปีหน้าคาดกำไรสุทธิ 41,000 ล้านบาท
ด้านนายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล.ทรีนิตี้ ยังแนะนำ"ซื้อ"หุ้น SCC แม้ว่าจะมีการปรับลดราคาเป้าหมายและประมาณการกำไร โดยราคาเป้าหมายเดิมให้ไว้ที่ 450 บาท/หุ้น ขณะนี้กำลังจะปรับราคาเป้าหมายลงเหลือประมาณ 300 บาทปลาย ๆ เนื่องจากมองว่า SCC จะต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทำให้มีผลกระทบต่อธุรกิจปิโตรเคมี ดังนั้นนักลงทุนควรจะรอหาจังหวะในการซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลง
ส่วนประมาณการกำไรสุทธิ SCC ปีนี้เดิมคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 34,600 ล้านบาท ล่าสุดได้ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิมาเหลือ 32,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2553 ที่มีกำไรสุทธิ 37,000 ล้านบาท เนื่องจากปี 2553 บริษัทฯมีรายการพิเศษจากขาย PTTCH แล้วมีกำไร 9,600 ล้านบาท
ส่วนกำไรสุทธิปี 55 จากเดิมคาดว่าจะมีกำไร 37,000 ล้านบาท ล่าสุดได้ปรับลดประมาณการลงมาเหลือกำไร 34,000 ล้านบาท แต่ยังคงมองว่าระยะยาวธุรกิจของ SCC จะมีการเติบโตที่ดี จากการเข้าไปลงทุนซื้อกิจการเพื่อเพิ่ม value เนื่องจากปัจจุบันมีเงินสดในมือสูงมากถึง 58,000 ล้านบาท มองว่าสามารถลงทุนซื้อกิจการต่อได้ถึง 5 ปีข้างหน้าเพื่อหนุนฐานธุรกิจให้แข็งแกร่ง เพื่อหนุนเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในอาเซียน
ขณะที่นายประสิทธิ์ รัตนกิจกมล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส มองว่า จากการผู้ผลิตภายในประเทศรายใหญ่ และจะได้รับประโยชน์ภายหลังจากผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมไปแล้ว นอกจากนี้ยังได้แรงกระตุ้นจากเศรษฐกิจภาครัฐฯ จากการสร้างโครงการรถไฟฟ้า การสร้างระบบชลประทาน ซึ่งจะสนับสนุนให้ยอดขายสูงขึ้น
ธุรกิจปิโตรเคมีมองว่าเริ่มจะเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่ปี 55 เป็นต้นไป ภายหลังจากที่ได้มีการลงทุนมา 5 ปีที่ผ่านมา โดยในส่วนต้นน้ำกำลังการผลิตน่าจะเพิ่มขึ้นได้เท่าตัว แม้ว่า Spread ปิโตรฯจะยังไม่ดีนัก แต่ยอดขาย(volume)ที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ offset กันได้ นอกจากนี้ในปี 56-58 มองว่า SCC จะเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นได้อีกครั้ง ภายหลังจากที่ volume เพิ่มขึ้น แล้ว Spread ปิโตรฯจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นในปลายปี 55
นอกจากนี้ การทำ M&A ของ SCC จากที่ฐานะการเงินที่สูงราว 60,000 ล้านบาท ทำให้ SCC สามารถหาซื้อกิจการได้ในราคาที่ถูกในช่วงที่เศรษฐกิจโลกไม่ดี ช่วยเพิ่ม value ให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดี ซึ่ง SCC มีเป้าหมาย 5 ปีข้างหน้าที่จะใช้งบลงทุนซื้อกิจการประมาณ 150,000 ล้านบาท ตรงนี้จะเป็นตัวเร่งการเติบโตให้เร็วขึ้น
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 ไว้ที่ 35,270 ล้านบาท ลดลงจากปี 53 ที่มีกำไรสุทธิ 37,382 ล้านบาท เนื่องจากปีก่อน SCC มีกำไรสูงจากขาย PTTCH ในช่วงไตรมาส 4/53 ส่วนปี 55 คาดการณ์ว่าจะมีกำไรสุทธิ 37,353 ล้านบาท