ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) หลังจากธนาคารกลางยุโรปเตือนว่า ยูโรโซนมีโอกาสที่จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันเนื่องมาจากปัญหาหนี้สิน และหลังจากจีนเปิดเผยว่ายอดส่งออกชะลอตัวลงในเดือนก.ย.
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 1.1% ปิดที่ 236.53 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีลดลง 79.63 จุด หรือ 1.33% ปิดที่ 5,914.84 จุด ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสลดลง 42.82 จุด หรือ 1.33% ปิดที่ 3,186.94 จุด และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนลดลง 38.42 จุด หรือ 0.7% ปิดที่ 5,403.38 จุด
นักลงทุนวิตกกังวลหลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรปเตือนว่า เศรษฐกิจยูโรโซนอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย และเตือนว่าการที่หลายประเทศในยูโรโซนบีบให้กลุ่มผู้ถือพันธบัตรในภาคเอกชนต้องร่วมแบกรับภาระการขาดทุนอันเนื่องมาจากวิกฤตหนี้ยุโรปนั้น อาจสร้างความเสียหายให้กับภาคธนาคารและบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อสกุลเงินยูโรด้วย
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับแรงกดดันหลังจากสำนักงานศุลกากรจีนเปิดเผยว่า ยอดเกินดุลการค้าเดือนก.ย.ของจีนร่วงลง 12.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 1.451 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 2 เดือน เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในตลาดภายในประเทศ ขณะที่ยอดส่งออกเดือนก.ย.ของจีนเพิ่มขึ้นเพียง 17.1% สู่ระดับ 1.6967 แสนล้านดอลลาร์ และยอดนำเข้าพุ่งขึ้น 20.9% สู่ระดับ 1.5516 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้ยอดเกินดุลการค้าของจีนลดลงอย่างมากในเดือนก.ย.
หุ้นคาร์ฟูร์ร่วงลง 5.9% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่ากำไรจะหดตัวลงรุนแรงถึง 20% ในปีนี้ ขณะที่หุ้นโรช โฮลดิ้ง เอจี ร่วงลง 4.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่าผลประกอบการไตรมาส 3 ลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดิ่งลง โดยหุ้นอันโตฟากัสต้าร่วงลง 6.3% หุ้นคาซัคมิสดิ่งลง 5.7% หุ้นเวแดนตา รีซอสเซส ร่วงลง 5.1% หุ้นริโอทินโตร่วงลง 2.3%
หุ้นโรช ซึ่งเป็นผู้ผลิตยารายใหญ่อันดับ 2 ของยุโรปร่วงลง 4.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่ารายได้ปรับตัวลดลง 15% เนื่องจากสกุลเงินฟรังค์แข็งค่าขึ้น