ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกัน 2 พันลบ.ของ SC ที่ BBB/Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 14, 2011 09:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) ที่ระดับ “BBB+" ในขณะเดียวกันทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทที่ระดับ “BBB" ด้วย โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงบน ตลอดจนกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า และความสามารถในการขยายธุรกิจโดยมีภาระเงินกู้ไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง รวมถึงอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ค่อย ๆ ลดลงแม้จะเป็นอัตราที่สูงกว่าผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีกหลายราย และการคาดการณ์ที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในระยะสั้นถึงปานกลางเนื่องจากบริษัทจะมีโครงการมากกว่าในอดีต

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการเงินให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ในระยะปานกลาง ความสามารถในการทำกำไรอาจอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากระดับปัจจุบันเนื่องจากสัดส่วนที่ ลดลงของอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า แต่คาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งอยู่ ทั้งนี้ คาดว่าแผนการขยายธุรกิจเชิงรุกจะทำให้บริษัทมีภาระหนี้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทควรรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 50% เอาไว้ ทริสเรทติ้งรายงานว่า SC เป็นผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยขนาดกลางซึ่งก่อตั้งในปี 2532 โดยหลังจากที่กลุ่มตระกูลชินวัตรซื้อ กิจการของบริษัทในปี 2538 บริษัทก็เริ่มดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าโดยการพัฒนา “อาคารชินวัตร 3" เป็นโครงการแรก หลังจากนั้น บริษัทได้ปรับโครงสร้างองค์กรโดยขยายสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยในปี 2546 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน 2546 โดย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2554 กลุ่มตระกูลชินวัตรยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 61.12% ของหุ้นทั้งหมด

สินค้าที่อยู่อาศัยของบริษัทมีหลากหลายประเภท ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ โฮมออฟฟิศ และคอนโดมิเนียม โดยโครงการในปัจจุบันของบริษัทเน้นลูกค้าระดับรายได้ปานกลางถึงสูงซึ่งมีราคาขายต่อหน่วยที่ 5-100 ล้านบาทสำหรับบ้านเดี่ยว 3.5-4 ล้าน บาทสำหรับทาวน์เฮ้าส์ และ 5-7 ล้านบาทสำหรับโฮมออฟฟิศ ส่วนคอนโดมิเนียมมีราคาขายต่อตารางเมตรอยู่ที่ 70,000-120,000 บาท

รายได้จากบ้านเดี่ยวยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกินกว่าครึ่งของรายได้รวมในช่วงปี 2553 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2554 ในขณะที่รายได้จากคอนโดมิเนียมคิดเป็นประมาณ 20% และจากทาวน์เฮ้าส์น้อยกว่า 10% ในช่วงปี 2553 ถึง 6 เดือนแรกของปี 2554 ในส่วนของรายได้จากค่าเช่านั้นลดลงเป็น 12%-13% ของรายได้รวม จาก 17%-20% ในช่วงปี 2551-2552 ทั้งนี้ บริษัทเน้นพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เป็นโครงการขนาดเล็กถึงขนาดกลางเพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด

ยอดขายของบริษัททำสถิติสูงสุดที่ระดับ 5,014 ล้านบาทในปี 2553 โดยเพิ่มขึ้น 13% จาก 4,427 ล้านบาทในปี 2552 ยอดขายในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2554 ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 4,701 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 72% จาก 2,729 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2553 ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของโครงการบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม ยอดขายบ้านเดี่ยวยังคงแข็งแกร่งและเติบโตเป็นอย่างมากในช่วงปี 2553 ถึง 8 เดือนแรกของปี 2554 ในขณะที่ยอดขายทาวน์เฮ้าส์กลับลดลงจากผลของการเปิดโครงการทาวน์เฮ้าส์ใหม่เพียง 2 โครงการเท่านั้นในปี 2553 เนื่องจากบริษัทเน้นพัฒนาบ้านเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่

สำหรับยอดขายคอนโดมิเนียมในช่วงปี 2553 ถึง 8 เดือนแรกของปี 2554 นั้นส่วนใหญ่มาจากโครงการ “เซ็นทริค รัชดา-สุทธิสาร" บริษัทมีรายได้รวมจากโครงการที่อยู่อาศัยทั้งสิ้น 5,787 ล้านบาทในปี 2553 เพิ่มขึ้น 48% จากปี 2552 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากบ้านเดี่ยวและห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียม “เซ็นทริค ซีน รัชวิภา"

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 รายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเป็น 3,278 ล้านบาท จาก 2,345 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2553 โดยรายได้จากบ้านเดี่ยวยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักในการเติบโต ในขณะที่รายได้จากค่าเช่ายังคงเป็นแหล่งรายได้ที่สม่ำเสมอ โดยอยู่ที่ 829 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2552-2553 และเพิ่มขึ้นเป็น 429 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 จาก 408 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2553

ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับที่ยอมรับได้โดยได้รับแรงหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ทั้งนี้ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่ระดับ 24%-25% ในระหว่างปี 2553 ถึงครึ่งแรกของปี 2554 ถือว่าแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในขณะที่สภาพคล่องทางการเงินก็อยู่ในระดับที่ยอมรับได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การขยายโครงการมากขึ้นในช่วงปี 2553 ถึง 6 เดือนแรกของปี 2554 ทำให้กระแสเงินสดของบริษัทอ่อนตัวลง โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงเป็น 26.5% ในปี 2553 จาก 29.51% ในปี 2552 และลดลงเป็น 11.86% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 จาก 16.34% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี)

ในช่วงเดียวกันของปี 2553 ภาระหนี้ของบริษัทคงอยู่ในระดับต่ำ โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 36.2% อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นในระยะใกล้เนื่องจากบริษัทมีแผนการขยายธุรกิจเชิงรุกในช่วงปี 2554-2555

ทริสเรทติ้งกล่าวถึงช่วงเวลาที่เหลือของปี 2554 ว่า ตลาดบ้านเดี่ยวน่าจะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ตลาดทาวน์เฮ้าส์น่าจะเติบโตในระดับที่ต่ำกว่าตลาดโดยรวมเมื่อพิจารณาจากจำนวนหน่วยเหลือขายที่มีอยู่ ส่วนยอดขายคอนโดมิเนียมในปี 2554 น่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปี 2553 จากแรงหนุนของคอนโดมิเนียม 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทในทำเลที่เป็นย่านชุมชนหนาแน่นและกลุ่มระดับราคาสูงกว่า 5 ล้านบาทในทำเลที่ใกล้เส้นทางระบบรถไฟฟ้า

ทั้งนี้ นโยบายสนับสนุนด้านภาษีและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปลอดดอกเบี้ยของรัฐบาลน่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสข้างหน้า อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยังคงมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ตลอดจนแรงกดดันด้านต้นทุนหากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลมีผลบังคับใช้ และภาระหนี้ของผู้ประกอบการที่คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ