HMPRO คาดยอดขาย Q4/54 ลดลง 5% แต่ไม่กระทบทั้งปีที่ 15%

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday October 14, 2011 14:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.โฮมโปรดักส์เซ็นเตอร์ (HMPRO) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ายอดขายในไตรมาส 4/54 จะลดลงประมาณ 5% ซึ่งเป็นอัตราการลดลงจากปกติที่มียอดขายเติบโตไตรมาสละ 15% เนื่องจากกผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม ที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังน้ำลด กำลังซื้อจะกลับมา และจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าซ่อมแซมบ้าน ที่จะเพิ่มขึ้น 10-15% จากปัจจุบันสินค้าดังกล่าวมีสัดส่วน 30%ของยอดขาย ประกอบกับในช่วงครึ่งแรกที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายมีอัตราเติบโตสูง โดยยอดขายเติบดต 15% กำไรสุทธิ 25% จึงทำให้เชื่อว่ายอดขายทั้งปี 54 เติบโต 15% ได้ตามเป้าหมาย ส่วนการขยายสาขาในช่วงที่เหลือ จะยังคงเป็นไปตามแผนเดิม โดยจะเปิดสาขาที่จ.สกลนคร 1 แห่ง ในเดือน ธ.ค.54

"ช่วงนี้ความสนใจซื้อสินค้าคงจะไม่คึกคัก เพราะทุกคนก็ต่างรอดูสถานการณ์น้ำท่วม และเรามองว่ากำลังซื้อจะกลับมาอีกทีคงหลังน้ำท่วม ที่เกิดจากการซ่อมแซม การที่ครึ่งแรกเราทำได้ดี จึงไม่น่าจะกระทบต่อยอดขายทั้งปีที่เราตั้งไว้เติบโต 15%"นายคุณวุฒิ กล่าว

ทั้งนี้จากปัจจัยดังกล่าว บริษัทมีแผนที่จะลดราคาสินค้าประเภทซ่อมแซมบ้าน 50% รวมทั้งร่วมมือกับผู้ร่วมค้า 100 กว่าบูธที่เข้าร่วมจัดงาน Homepro Expo โดยการจัดตั้งกองทุน เริ่มต้นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย และในการจัดงาน Homepro Expo ครั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 500 ล้านบาท ซึ่งถือว่า ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มียอดขายในงาน 700 ล้านบาท

นอกจากนี้ ภาวะน้ำท่วมส่งผลกระทบคลังสินค้าที่อยุธยา ซึ่งได้ปิดไปเมื่อวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่มองว่าไม่น่าจะกระทบต่อบริษัท เพราะมีวงเงินประกันครอบคลุม ขณะเดียวกัน บริษัทมีคลังสินค้าที่มีน้ำล้อมรอบอยู่แต่น้ำไม่ได้เข้าท่วมถึง โดยคลังสินค้าเหล่านี้อยู่ที่ สุพรรณบุรี ลพบุรี ฉะเชิงเทรา รังสิต เป็นต้น ไม่สามารถรับมอบสินค้าได้และให้ผู้ค้าส่งสินค้าโดยตรงให้ลูกค้า รวมทั้งบริษัทมีแผนในการตั้งจุดสำรองเป็นคลังสินค้าชั่วคราวเพื่อสำหรับกระจายสินค้า

ส่วนการขยายสาขาในต่างประเทศ นายคุณวุฒิ กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาเปิดสาขาในประเทศอื่น ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ส่วนในมาแลซีย คาดว่าจะเปิดสาขาได้เร็วที่สุดในปี 56 ซึ่งล่าช้ากว่าแผนเดิม เนื่องจากการขออนญาตมีขั้นตอนมาก โดยเฟสแรกที่มาเลเซียใช้เงินลงทุน 500 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ