นายวีรศักดิ์ โฆษิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล(PTTGC)กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้ารายได้รวมปีนี้ไว้ที่ 4 แสนล้านบาท หลังการควบรวม บมจ.ปตท.เคมิคอล (PTTCH)และบมจ.ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น(PTTAR) จากปีก่อนที่ทั้งสองบริษัทมีรายได้รวมกัน 3.7 แสนล้านบาท เนื่องจากความต้องการซื้อและกำลังการผลิตในตลาดโลกยังมีอยู่ ขณะที่กำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นจากโอเลฟินส์ที่เครื่องแล้วและยังไม่มีโรงงานใหม่ๆในโลกเกิดขึ้น โดยความต้องการใช้โอเลฟินส์ยังเติบโตประมาณ 3-4% ส่วนอะโรเมติกส์ไม่มีกำลังการผลิตใหม่ ทำให้ราคายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากความต้องโพลีเอสเตอร์ที่เติบโต
สำหรับภาพรวมตอนนี้ธุรกิจในระยะสั้นถึงกลางยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมสเปรดปิโตรเคมีค่อยๆ ดีขึ้น ราคาอะโรเมติกส์ช่วงนี้ยังราคาดีและกำลังการผลิตไม่มากนัก ต้นทุนนาฟทาต่ำลงจากราคาประมาณ 400 เหรียญ/ตัน จากต้นปีราคานาฟทาที่ 500 เหรียญ/ตัน บริษัทที่ใช้นาฟทาผลิตยังอยู่ได้แต่กำไรไม่มากของ PTTGC ใช้ก๊าซ 90% นาฟทา 10% เพราะฉะนั้นบริษัทยังมีความได้เปรียบ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาน้ำท่วมบริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ด้วยการส่งออกเพิ่มขึ้นเพื่อขึ้นทดแทนการขายในประเทศและสต็อกเม็ดพลาสติกสูงขึ้น 10% โดยมองว่าผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นช่วงสั้นและหลังจากน้ำลดหากลูกค้าต้องการวัตถุดิบบริษัทมีให้ทันทีเพราะมีการจัดเตรียมสต็อกไว้ ขณะนี้ลูกค้าบางรายได้รับผลกระทบและบางที่จัดส่งได้ยากขึ้นแต่ตอนนี้ยังไม่มีการหยุดการผลิต
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการวางแผนการลงทุนระยะยาวเพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียนในปี 58 โดยเฉพาะการหารายได้ในต่างประเทศทั้งในรูปแบบร่วมลงทุนและลงทุนเอง โดยประเทศที่สนใจลงทุน คือ อินโดนีเซีย เนื่องจากมีความต้องการใช้มากจากจำนวนประชากรจำนวนมาก รวมทั้งการมองหาโอกาสเข้าลงทุนรูปแบบอื่นด้วย แต่ยังให้ความสำคัญการลงทุนในแถบอาเซียนที่เป็นตลาดเกิดใหม๋เติบโตดี ซึ่งอาเซียนความต้องการผลิตภัณฑ์เติบโต 3-4% ส่วนเม็ดเงินการลงทุนยังไม่ได้วางแผนงานไว้ แต่จะพิจารณาเป็นโครงการไป แต่ไม่มีปัญหาเรื่องเม็ดเงิน เพราะสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(DE) ยังต่ำที่ 0.44 เท่า และจะพยายามรักษาไม่ให้ DE เกิน 1 เท่า