บทวิเคราะห์ บล.ธนชาต ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยในปีนี้ลงจาก 3.7% เป็น 1.5% หลังรับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมเชิงห่วงโซ่มากกว่าคาด ถึงแม้ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูครั้งใหญ่ในปีหน้าและมีฐานที่ต่ำ แต่ก็ปรับเพิ่มประมาณการปี 55 ขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 3.4% เป็น 3.8% เนื่องจากอำนาจการใช้จ่ายลดลงและเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง
ผลกระทบเชิงห่วงโซ่จากปัญหาน้ำท่วมนั้น บริษัทซึ่งฐานการผลิตจำเป็นต้องหยุดเดินสายหลังได้รับความเสียหาย นอกจากการสูญเสียรายได้มหาศาล ยิ่งกว่านั้นยังส่งผลออกไปให้ supply chain และระบบการขนส่งในอุตสาหกรรมต่างๆ นอกเหนือพื้นที่น้ำท่วมได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะฉะนั้นผลกระทบที่คาดมีในวงจำกัดเพียงอุตสาหกรรมอย่างอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า คงเป็นไปได้ยาก เพราะส่งผลกระทบต่อกลุ่มค้าปลีก สื่อ ผู้ประกอบการโรงภาพยนต์ และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน เมื่ออุตสาหกรรมเหล่านี้ต้องเชิญกับผลกระทบ จะส่งผลให้กลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบเช่นกัน
"ภาพรวมคือทุกปัจจัยหลักเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบ เช่น ภาคการส่งออก การบริโภค การลงทุน และการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งถูกสะท้อนอยู่ในประมาณการ GDP ใหม่ของเรา"
ทั้งนี้ หากให้การเติบโตของ GDP ช่วงไตรมาส 4/54 หดตัวลง 3.8% y-y และหดตัว 6.8% q-q ปรับตามฤดูกาล อัตราเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดและธุรกิจหยุดชะงักจากน้ำท่วมและจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะได้รับการปรับลดในการประชุม กนง.วันที่ 30 พ.ย.ราว 0.50% สู่ระดับ 3.0% ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของรอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรอบใหม่ และเรายังปรับลดประมาณการอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้าลงจาก 3.0% เป็น 2.75%
ขณะที่ปี 2012 เราปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 3.4% เป็น 3.8% ถึงแม้ประเทศไทยจำเป็นจะต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูครั้งใหญ่เนื่องจาก 1) ผลกระทบคาดยืดเยื้อถึงไตรมาส 1Q12 และ 2) ปัจจัยฉุดคือประชาชนขาดอำนาจในการจ่ายหลังได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยได้เข้าสู่รอบของการเติบโตที่ต่ำกว่ามาตรฐานแล้ว
จากหุ้น Top pick จำนวน 10 ตัวนั้น คาดว่าหุ้นที่จะได้รับผลกระทบเพียงจำกัดจากเหตุการณ์อุทกภัย คือ ADVANC, DTAC, IVL, KSL และ GLOW
ขณะที่ TUF ยังคงปลอดภัยจากน้ำท่วมและลักษณะธุรกิจมีความยืดหยุ่นในช่วงเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหรืออยู่ในภาวะถดถอย แต่อย่างไรก็ตาม หนึ่งปัจจัยเสี่ยงคือหากน้ำท่วมได้ทวีความรุนแรงไปยังภาคใต้ ธุรกิจกุ้ง (16% ของยอดขาย) อาจได้รับผลกระทบ ส่วนหุ้นที่มีความเป็นไปได้สูงที่พื้นฐานธุรกิจจะเปลี่ยนแปลงอย่างมากหากต้องปรับกลยุทธ์ คือ LH ซึ่งเป็นผู้ประกอบการพัฒนาบ้านเดี่ยวรายใหญ่สุดในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ จึงเปลี่ยนตัวเลือกใหม่เป็น LPN ที่เน้นการพัฒนาโครงการสูง