นายประพจน์ พลพิพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซิงเกิ้ล พอยท์ พาร์ท (ประเทศไทย) (SPPT) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า โดยคาดว่าโรงงานแห่งที่ 2 และสำนักงานของบริษัทภายในนิคมอุตสหากรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งถูกน้ำท่วมตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมานั้น น่าจะใช้เวลาฟื้นฟูและกลับมาดำเนินการผลิตได้ตามปกติอย่างเร็วที่สุดประมาณต้นปี 55
ขณะนี้บริษัทได้มีการประสานงานไปยังผู้ดูแลนิคมอุตสหากรรมโรจนะ เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาน้ำท่วมขังภายในตัวโรงงาน เบื้องต้นคาดว่าทางนิคมฯจะสูบน้ำออกได้ในช่วงต้นเดือน พ.ย.นี้ และคงจะสูบน้ำออกได้ทั้งหมดภายใน 1 เดือน หลังจากนั้นประมาณช่วงเดือนธ.ค.บริษัทจึงจะสามารถเข้าไปสำรวจความเสียหายภายในโรงงานและเริ่มการฟื้นฟูปรับสภาพได้คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนหลังจากนั้น
นายประพจน์ กล่าวว่า ขณะนี้ระดับน้ำโดยรวมยังทรงตัวที่ระดับความสูงประมาณ 2.8 เมตร ซึ่งบริษัทยังไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายทั้งหมดได้ เนื่องจากยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบภายในโรงงาน แต่เบื้องต้นเครื่องจักรที่อยู่ภายในโรงงานมีมูลค่ารวมกันประมาณ 300 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม โรงงานแห่งนี้ได้มีการทำประกันภัยประเภทครอบคลุมความเสี่ยงทั้งหมด (All Risk) ซึ่งมีวงเงินประกัน 450 ล้านบาท โดยจะครอบคลุมทั้งตัวอาคาร, เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ, เฟอร์นิเจอร์, เครื่องใช้สำนักงาน, วัตถุดิบต่างๆ ฯลฯ แต่ไม่ได้มีการทำประกันภัยกรณีธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption)
สำหรับโรงงานแห่งที่ 2 เป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนกล้องถ่ายรูปเป็นหลัก รวมทั้งชิ้นส่วนยานยนต์และชิ้นส่วนอากาศยาน ซึ่งมีสัดส่วนรายได้รวมกันประมาณ 50% ของรายได้รวม
"โรงงานที่อยุธยาน้ำน่าจะท่วมข้างในด้วย แต่ที่เราไปสำรวจได้ดูแต่รอบนอกเท่านั้น ยังเข้าไปดูข้างในโรงงานไม่ได้ จึงไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายได้ เพราะไม่รู้ว่าเครื่องจักรที่อยู่ในนั้นจะเสียหายเท่าไหร่ ซึ่งช่วงนี้เราก็ติดต่อไปทางซัพพลายเออร์ที่เป็นเจ้าของเครื่องจักร เพื่อที่จะสำรวจดูว่าเครื่องจักรต่างๆจะสามารถซ่อมแซมได้หรือไม่ ถ้ามีอะไรที่ซ่อมได้ก็จะได้เตรียมไว้ก่อน พอน้ำลดจะได้ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ส่วนลูกค้าก็มีการติดต่อกันตลอด เพราะลูกค้าเราส่วนใหญ่ก็อยู่ในโรจนะเหมือนกัน ก็คุยกันว่าแต่ละคนมีแผนในการฟื้นฟูอย่างไรเพราะว่ามันต้องไปพร้อมๆกัน"นายประพจน์ กล่าว
ขณะที่โรงงานแห่งที่ 1 ของบริษัทซึ่งตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมอินทรา จ.สิงห์บุรี ซึ่งเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ ขณะนี้ยังไม่ถูกน้ำท่วมและยังเปิดดำเนินการผลิตได้ตามปกติ แต่กำลังการผลิตเหลือเพียง 75-80% ของกำลังการผลิตทั้งหมด เนื่องจากมีพนักงานบางส่วนไม่สามารถเดินทางมาทำงานได้ เนื่องจากที่พักอาศัยถูกน้ำท่วม
"โรงงานผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ที่สิงห์บุรี ยังเปิดดำเนินการผลิตได้ตามปกติน้ำยังไม่ท่วม ก็ถือเป็นความโชคดีของเรา เพราะว่าตอนนี้โรงงานผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ส่วนใหญ่ก็จะโดนน้ำท่วมกันเกือบหมด ก็จะมีของเราที่เหลืออยู่ ซึ่งตัวชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ก็มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 50%"นายประพจน์ กล่าว
ทั้งนี้ การที่โรงงานแห่งที่ 2 ต้องหยุดดำเนินการผลิตย่อมส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในปีนี้ โดยคาดว่ารายได้จะลดลงจากปี 53 ที่มีรายได้ 860 ล้านบาท หลังช่วงไตรมาส 4/54 จะไม่มีรายได้จากโรงงานแห่งที่ 2 เข้ามาเลย แม้ว่าปีนี้บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จาก บมจ.ซิงเกิ้ล พอยท์ เอ็นเนอยี่ แอนด์ เอ็นไวรอนเมนท์ (SPEE) ซึ่งดำเนินธุรกิจแปรรูปพลาสติกเป็นน้ำมันเข้ามาเป็นปีแรกมาช่วยชดเชยรายได้บางส่วน โดยจะเริ่มทำรายได้เข้ามาประมาณ 10 ล้านบาท จากการรับงานแปรรูปขยะจากเทศบาลหัวหิน มูลค่างานทั้งสิ้น 120 ล้านบาททยอยรับรู้ฯ 5 ปี
"ซิงเกิ้ล พอยท์ เอ็นเนอยี่ฯ ตอนนี้ธุรกิจอยู่ที่หัวหินยังดำเนินการได้ตามปกติ ก็มีแผนให้บริษัทลูกเขาเร่งผลักดันเรื่องยอดขาย เพื่อที่จะมีรายได้และกำไรส่วนหนึ่งมาช่วยจุนเจือบริษัทแม่ที่โดนน้ำท่วม ซึ่งก็เริ่มรับรู้รายได้มาตั้งแต่ไตรมาส 2 แล้ว ไตรมาส 3 ก็จะรับรู้เพิ่มขึ้น จากสัญญาสัมปทาน 5 ปี มูลค่า 120 ล้านบาท ปีนี้ก็คาดจะรับรู้ประมาณ 10 กว่าล้านบาท ซึ่งเราก็มีแผนที่จะเข้าไปประมูลงานในจังหวัดอื่นๆด้วย ก็มีที่กำลังพูดคุยกันอยู่ แต่ตอนนี้หลายจังหวัดก็ถูกน้ำท่วมก็ต้องไปรอดูช่วงต้นปีหน้าอีกที"นายประพจน์ กล่าว