ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (26 ต.ค.) ขานรับความคืบหน้าของการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) โดยมีรายงานว่าผู้นำยุโรปตกลงกันว่าจะกดดันธนาคารพาณิชย์ให้เพิ่มทุนมากขึ้นภายในเดือนมิ.ย.ปีหน้า เพื่อป้องกันการขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้กรีซ และข่าวที่ว่าเยอรมนีตกลงที่จะเพิ่มศักยภาพด้านการปล่อยกู้ให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนคาดว่าผู้นำอียูจะสามารถควบคุมวิกฤตหนี้สาธารณะได้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดพุ่ง 162.42 จุด หรือ 1.39% แตะที่ 11,869.04 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 12.95 จุด หรือ 1.05% แตะที่ 1,242.00 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับตัวขึ้น 12.25 จุด หรือ 0.46% แตะที่ 2,650.67 จุด
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในขณะที่ผู้นำอียูกำลังประชุมกันอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์นั้น ก็มีรายงานความคืบหน้าออกมาเป็นระยะๆ รวมถึงข่าวที่ว่าผู้นำยุโรปตกลงกันว่าจะดันธนาคารพาณิชย์ให้เพิ่มทุนมากขึ้นภายในเดือนมิ.ย.ปีหน้า เพื่อป้องกันการขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้กรีซ และเพื่อพยายามที่จะควบคุมวิกฤติหนี้
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า รัฐสภาเยอรมนีมีมติด้วยคะแนนเสียง 503 ต่อ 89 ให้เพิ่มขนาดของกองทุน EFSF ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการปล่อยกู้ให้กับกองทุน และยังทำให้นักลงทุนเชือมั่นว่าที่ประชุมอียูจะสามารถตกลงกันในเรื่องดังกล่าวได้ ในระหว่างการประชุมครั้งนี้
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่า จีนได้ตกลงที่จะให้การสนับสนุนกองทุน EFSF รวมทั้งรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐพุ่งขึ้นแข็งแกร่ง 1.7% ในเดือนก.ย.
หุ้นโบอิ้งพุ่งขึ้นเกือบ 4.5% หลังจากโบอิ้งรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด ขณะที่หุ้นอเมซอนร่วงลงกว่า 12% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาส 4
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงประจำไตรมาส 3 และสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติเปิดเผยยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนก.ย. ส่วนวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยรายได้ส่วนบุคคลเดือนก.ย. และรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงท้ายเดือนต.ค.