ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (28 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่ามาตรการควบคุมวิกฤตหนี้สาธารณะในยูโรโซน ซึ่งรวมถึงการเพิ่มขนาดของกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) นั้น อาจจะไม่สามารถแก้ไขวิกฤตหนี้ได้
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 0.2% ปิดที่ 249 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 3,348.63 จุด ลดลง 19.99 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 6,346.19 จุด เพิ่มขึ้น 8.35 จุด และดัชนีฟุตซี่ตลาดหุ้นลอนดอนปิดสุดที่ 5,702.24 จุด ลดลง 11.58 จุด
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นยุโรปทะยานขึ้นแข็งแกร่งหลังจากที่ประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) มีมติให้ใช้มาตรการควบคุมวิกฤตหนี้สาธารณะไม่ให้ลุกลามไปยังประเทศอื่นๆที่มีความสำคัญในเชิงระบบของยูโรโซน เช่นอิตาลี โดยมาตรการดังกล่าวครอบคลุมถึงการเพิ่มขนาดให้กับกองทุน EFSF เป็น 1 ล้านล้านยูโร (1.37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) และปรับลดมูลค่าพันธบัตร หรือการทำ haircut ของรัฐบาลกรีซซึ่งถือครองโดยธนาคารเอกชนลงในสัดส่วน 50%
แต่ตลาดหุ้นยุโรปปรับฐานลงในวันศุกร์ เนื่องจากนักลงทุนไม่มั่นใจว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถควบคุมวิกฤตหนี้ได้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่ารัฐบาลอิตาลีสามารถระดมทุนจากการประมูลพันธัตรได้น้อยเกินคาด
รวมทั้งรายงานของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ที่ระบุว่า ปริมาณการปล่อยกู้ให้กับภาคเอกชนในยูโรโซนมีอัตราการเติบโตทรงตัวที่ 2.5 % ต่อปี สู่ระดับ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ระดับ 2.6% ต่อปี และคาดว่าริมาณการปล่อยกู้อาจลดลงอีกในขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนชะลอตัว
หุ้นเรโนลท์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของยุโรปพุ่งขึ้น 4.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบรายไตรมาสเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 9.75 พันล้านยูโร จากระดับของปีที่แล้วที่ระดับ 8.71 พันล้านยูโร สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 9.63 พันล้านยูโร
หุ้นอิเล็กโทรลักซ์พุ่งขึ้น 6.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรสุทธิไตรมาส 3 ที่ระดับ 130 ล้านดอลลาร์ แต่หุ้นปิโตรเลียม จีโอ-เซอร์วิสเซส ดิ่งลง 14%