โบรกเกอร์ยังคงเห็นพ้อง"ซื้อ"หุ้น บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์(LPN)แม้กำไรในไตรมาส 4/54 จะลดลง แต่เป็นผลกระทบที่เกิดจากยอดโอน backlog ในช่วงไตรมาส 3/54 ที่อยู่ในระดับสูง แต่ระยะสั้น LPN จะเป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมน้อยที่สุดในกลุ่มอสังหาฯ และเชื่อว่าความต้องการคอนโดมีเนียมจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคจะมองคอนโดฯเป็นบ้านหลังที่สอง
ขณะที่ LPN มีจุดเด่นด้านโครงสร้างทางการเงินแข็งแกร่ง-ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง รวมทั้งยังได้ประโยชน์จากมาตรการรัฐในการปล่อยสินเชื่อ 0% ระยะเวลา 3 ปีสำหรับราคาบ้านต่ำกว่า 1 ล้านบาท ช่วยทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น สนับสนุน LPN เพิ่ม
พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 54 ไว้ 1,859-1,909 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน ส่วนปี 55 คาดกำไรสุทธิมาอยู่ที่ 1,985-2,122 ล้านบาท จากยอด Backlog ที่สูงสนับสนุน
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท) บล.เคจีไอ ซื้อ 14.40 บล.เอเชียพลัส ซื้อ 13.52 บล.ฟินันเซียไซรัส ซื้อ 13.70 บล.เกียรตินาคิน ซื้อ 13.20 บล.ธนชาต ซื้อ 13.00
นางสาวธรีทิพย์ วงศ์แสงไพบูลย์ นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ กล่าวว่า หุ้น LPN โดดเด่นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมีแนวโน้มกำไรที่ยังแข็งแกร่ง และยังเป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมน้อยกว่าผู้ประกอบการอื่นในกลุ่ม แม้จะมีโครงการที่กำลังพัฒนา 2 โครงการอยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม คือโครงการ Lumpini Ville แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด และ Lumpini Ville พิบูลสงคราม-ริเวอร์วิว ภาวะน้ำท่วมอาจทำให้การก่อสร้างต้องหยุดชะงัก แต่การที่ LPN ทำแนวคันกั้นน้ำเพื่อป้องกันพื้นที่ก่อสร้างไว้แล้วจึงได้รับผลกระทบในวงจำกัด
ในอีกด้านหนึ่งเรามองว่าสถานการณ์น้ำท่วมรอบนี้ จะทำให้ความต้องการคอนโดมีเนียมเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากผู้บริโภคบางรายอาจจะพิจารณาซื้อคอนโดเป็นบ้านหลังที่สองเพื่อเตรียมตัวสำหรับสถานการณ์เช่นน้ำท่วมกรุงเทพฯในปัจจุบันนี้ จึงน่าจะส่งผลต่อกำลังซื้อมากขึ้น
ประเมินกำไรสุทธิจะสูงสุดในไตรมาสที่ 3/54 และอ่อนตัวลงในไตรมาส 4/54 โดยคาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 3/54 จะเท่ากับ 745 ล้านบาท สูงขึ้น 153.9%YoY และ 29.2%QoQ เป็นผลมาจากยอดโอน backlog ที่สูงกว่า4 พันล้านบาทจากสามโครงการหลักได้แก่ Lumpini Park ปิ่นเกล้า, Lumpini Place รัชโยธิน และ Lumpini Place พระราม 4-กล้วยไท เพียงพอที่จะทำให้ยอดรับรู้รายได้ปีนี้เป็นไปตามการคาดการณ์ และเป้าหมายของบริษัทที่ระดับ 1.2 หมื่นล้านบาท และครอบคลุม 69.0% ของประมาณการรายได้ปี 55 ของเราแล้ว ขณะที่โครงการ Lumpini Place จอมเทียนได้รับการตอบรับดีมาก มียอดขายสูงถึง 60% ช่วงต้นเดือนตุลาคม ทำให้ LPN สร้างยอด presale สะสมเพิ่มขึ้น
พร้อมคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิสำหรับปีนี้ที่ 1,859 ล้านบาท (13.6%YoY) และปีหน้า 2,122 ล้านบาท(14.1%YoY) รวมความเสี่ยงด้านลบในอนาคตที่เกิดจากภาวะน้ำท่วมเข้าไว้แล้ว โดยในไตรมาสที่ 3/54 น่าจะเข้าสู่จุดสูงสุดของปี ราคาเป้าหมายที่ 14.40 บาท
"กำไรสุทธิของ LPN จะเข้าสู่จุดสูงสุดในไตรมาสที่ 3/54 ช่วง 9 เดือนแรกผลประกอบที่ออกมาก็เกือบจะบรรลุเป้าหมายกำไรทั้งปีของบริษัทอยู่แล้ว เราจึงมองว่าโดดเด่นที่สุดในตอนนี้"นักวิเคราะห์ กล่าว
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม นักวิเคราะห์ บล.เอเชียพลัส ปรับคำแนะนำหุ้น LPN เป็น"ซื้อ"จากเดิม"ถือลงทุน"เนื่องจากแนวโน้ม Demand คอนโดมิเนียมสูงขึ้นจากเหตุการณ์น้ำท่วม โดยเฉพาะโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ โดย LPN ถือเป็นผู้ประกอบการที่มีสต็อกคอนโดฯ สร้างเสร็จ โดยสต็อกคอนโดฯของ LPN ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 763 ล้านบาท ณ สิ้น 2Q54 เหลือประมาณ 300 ล้านบาท
ทั้งนี้ LPN มีจุดเด่นในด้านโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งและผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง โดยยอด Presale ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันแล้วกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท หรือ คิดเป็น 79% ของเป้าหมายปี 54 ของบริษัทที่ 1.4 หมื่นล้านบาท และช่วงที่เหลือของปีจะมีแผนเปิด 2-3 โครงการ เป็นคอนโด Low Rise 8 ชั้นใน กทม.2 โครงการ
LPN มียอด Backlog ณ สิ้น 3Q54 จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งกว่า 1 หมื่นล้านบาทจะมีกำหนดการโอนพร้อมบันทึกรายได้ในปี 55 จึงมีความเสี่ยงต่ำ โดยประมาณการรายได้จากการขายปี 55 ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% YoY ดังนั้น บริษัทจึงปรับเพิ่ม Fair Value ให้ PER ใหม่ที่ 10 เท่า จากเดิม 8 เท่า
ด้านบทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า มีมุมมองในเชิงบวกต่อหุ้น LPN ต่อเนื่องจากนี้-ปี 55 เพราะด้วย Backlog สะสมที่มาก โดยเฉพาะในปี 55 ที่จะมีการโอนเป็นรายได้แล้วกว่า 65% หรือประมาณ 9 พันล้านบาท จาก Backlog 1.6 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน จึงทำให้ LPN ไม่มีความกังวลในการสร้างรายได้
ประเมินรายได้ปี 54 ไว้ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 1,909 ล้านบาท ต่อเนื่องในปี 55 คาดการณ์ที่ 1,985 ล้านบาท เพราะนอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้วยังมาจากการที่ LPN เป็นผู้ประกอบการที่รับประโยชน์จากมาตรการบ้านหลังแรกที่จะมีการปล่อยสินเชื่อ 0% ระยะเวลา 3 ปี ในราคาบ้านที่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท และกรณีผู้มีรายได้มากกว่า 1.5 แสนบาทต่อปีก็จะได้สิทธิลดภาษีภายใต้กรอบเวลาสิ้นสุดปี 55 ทำให้ช่วยเร่งการตัดสินใจและกระตุ้นแรงซื้อ