นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยออยล์(TOP)เปิดเผยว่า ในภาวะที่เกิดน้ำท่วมขณะนี้โรงกลั่นไทยออยล์เดินเครื่องจ่ายน้ำมันทุกประเภทเต็มกำลังรวมกันที่ 10 ล้านลิตร/วัน จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ 6 ล้านลิตร/วัน เนื่องจากโรงกลั่นไทยออยล์ต้องจัดส่งน้ำมันแทนคลังน้ำมันที่ปิดไป คือ คลังน้ำมันบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา คลังน้ำมันลำลูกกา จ.ปทุมธานี และคลังน้ำมันสระบุรี จ.สระบุรี ที่ถูกน้ำท่วม
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้คลังน้ำมันสระบุรี ได้เริ่มกลับมาเปิดดำเนินการจัดส่งน้ำมันได้แล้ว ส่วนคลังน้ำมันลำลูกกา ก็เริ่มกลับมาจัดส่งน้ำมันได้แล้วบางส่วน
นายสุรงค์ กล่าวว่า ปัญหาน้ำท่วมทำให้การจัดส่งน้ำมันมีความยากลำบากและใช้ระยะเวลานานขึ้น แต่ก็ยังสามารถดำเนินการได้ได้ปัจจุบันไทยออยล์มีช่องทางหลักในการขนส่งหลักจากโรงกลั่นน้ำมัน 4 ช่องทาง คือ การขนส่งทางเรือ ซึ่งปัจจุบันไม่มีปัญหาในการจัดส่งเลย เพราะไทยออยล์มีท่าเรือที่คลังน้ำมันที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี, การขนส่งทางท่อ ซึ่งเป็นช่องทางที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมน้อย แต่ก็มีปัญหาบ้างที่คลังน้ำมันที่รับน้ำมันจากท่ออาจจะถูกน้ำท่วม,
การขนส่งน้ำมันทางรถไฟ ซึ่งเป็นการขนส่งน้ำมันดิบจากแหล่งผลิตในประเทศ ที่โรงกลั่นไทยออยล์ต้องรับน้ำมันดิบเพชร จากแหล่งสิริกิต์ จ.กำแพงเพชร ก็ยังสามารถจัดส่งได้จากชุมทาง อำเภอภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ส่งตรงมาที่โรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ที่ศรีราชาเลย และ ช่องทางการขนส่งทางรถบรรทุก ซึ่งเป็นช่องทางที่ขณะนี้มีปัญหาการจัดส่ง เพราะบางเส้นทางที่จะขนส่งน้ำมันไปยังภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถูกตัดขาดทำให้ต้องใช้ เวลานานขึ้นในการขนส่งไปเส้นทางอื่นแทน
สำหรับในไตรมาส 3/54 ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยอาจมีการขาดทุนจากสต็อกน้ำมันเล็กน้อย แต่ทั้งปีนี้คาดว่าบริษัทฯ จะมีกำไรจากการสต็อกน้ำมัน และผลประกอบการก็น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ค่าการกลั่นน้ำมัน(GRM)ในปัจจุบันอยู่เฉลี่ยประมาณ 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนค่าการกลั่นรวม(GIM)อยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
จากปัญหาน้ำท่วมในขณะนี้ประเทศไทยควรมีการพิจารณาเพื่อวางแนวทางแก้ไขในระยะยาว และสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานในอนาคตเพิ่มขึ้นอีก หากเกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่เหมือนอย่างในปีนี้จะได้แก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดการขาดแคลนพลังงานขึ้นในประเทศ โดยพิจารณาดำเนินการใน 2 เรื่อง คือ 1.การวางโครงข่ายท่อส่งน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ไปภาคอื่นๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน เพราะจะเห็นได้ว่าเมื่อเกิดภาวะน้ำท่วม เส้นทางถนนถูกตัดขาดทำให้การขนส่งน้ำมันไปภาคเหนือ และภาคอีสานมีความล่าช้ามาก แต่หากมีท่อส่งน้ำมันก็สามารถที่จะรับน้ำมันจากคลังปลายทางท่อได้ไม่ต้องรับน้ำมันจากกรุงเทพ หรือสระบุรี เหมือนในปัจจุบัน การขนส่งก็จะรวดเร็ว รวมทั้งสามารถแก้ปัญหาเรื่องราคาน้ำมันที่แตกต่างกันของกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดได้
2.การเก็บสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ของประเทศ จากปัจจุบันมีการสำรองน้ำมันโดยภาคเอกชนเท่านั้น ที่เก็บอยู่ประมาณ 18 วัน ของปริมาณการใช้ทั้งน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งการเก็บสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์มีความจำเป็นหากเกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำมันขึ้นในประเทศได้ โดยการเก็บสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์อาจจะเป็นการวางแผนร่วมกันกับประเทศในภูมิภาคนี้ก็ได้ เพื่อใช้ร่วมกันหากเกิดกรณีวิกฤตพลังงาน โดยจะเก็บสำรองกี่วัน เก็บสำรองโดยใคร ก็ให้กระทรวงพลังงานศึกษาและประกาศนโยบายออกมา ซึ่งภาคเอกชนก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม
"เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานก็ได้ออกข่าวผ่านสื่อว่าจะมีการให้ภาคเอกชนเก็บสำรองน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นอีก 11 วัน เป็น 29 วัน ซึ่งทางไทยออยล์ก็มีความพร้อมที่จะดำเนินการ แต่กระทรวงจะต้องมีความชัดเจนก่อน เพราะจะต้องมีการลงทุนก่อสร้างคลังน้ำมันเพิ่มขึ้น เนื่องจากคลังน้ำมันที่มีอยู่ในปัจจุบันเพียงพอสำหรับสำรองตามกฎหมายเท่านั้น"นายสุรงค์ กล่าว